
“ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้กรุ๊ป” บริษัทบริหารจัดการโรงแรม รีสอร์ต เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ร้านอาหาร และสปา ภายใต้กลุ่มบริษัทอิตัลไทยที่ให้บริการครอบคลุมในประเทศไทย มาเลเซีย จีน ฮ่องกง บังกลาเทศ และ สปป.ลาว
โดยมีแบรนด์ภายใต้การบริหารที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในหลายประเทศแถบภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ประกอบด้วย อมารี (Anari) โอโซ่ (OZO) ชามา (Shama) โอเรียนเต็ล เรสซิเดนซ์ (Oriental Residence) และบริการทั้งด้านสปา ร้านอาหารและเครื่องดื่ม ได้แก่ maai spa, Breeze spa, Prego, Amaya, Chom Sindh และ Nila
ภายใต้วิสัยทัศน์การเป็นบริษัทบริหารจัดการโรงแรมและการบริการขนาดกลางที่ดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ The Best Medium-sized Hospitality Management Company in Southeast Asia
รุก “เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์”
“ยุทธชัย จรณะจิตต์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป (ONYX Hospitality Group) บอกว่า ปัจจุบันออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้กรุ๊ป มีโรงแรม รีสอร์ต เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ รวมทั้งหมด 50 โครงการ ทั้งในประเทศไทย มาเลเซีย จีน ฮ่องกง ศรีลังกา และ สปป.ลาว

โดยมีแผนขยายการลงทุนให้มีโรงแรมและที่พักภายใต้การบริหารมากกว่า 70 แห่ง ภายในปี 2571
ทั้งนี้ จะมุ่งขยายแบรนด์ “ชามา” (Shama) ซึ่งเป็นธุรกิจในกลุ่มเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดรับกับทิศทางและความต้องการของตลาดที่มองหาที่พักระยะยาวเพิ่มมากขึ้น
รวมถึงยังเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพในการสร้างกำไรที่ดีในอนาคต เนื่องจากมีต้นทุนการบริหารจัดการที่ไม่สูงนัก เมื่อเทียบกับการบริหารธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ต
ขยายตลาดในไทย-มาเลย์-ลาว
“ยุทธชัย” บอกว่า ชามา (Shama) เป็นแบรนด์เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ที่มีจุดกำเนิดที่ฮ่องกง “ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้กรุ๊ป” เข้าซื้อกิจการมาตั้งแต่ปี 2553 และทำการขยายธุรกิจมาอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ
โดยในประเทศไทยมีจำนวน 6 แห่ง ฮ่องกง 7 แห่ง จีน 5 แห่ง และมาเลเซีย 2 แห่ง
ภายใต้แบรนด์ “ชามา” ยังประกอบด้วยแบรนด์ย่อย คือ “ชามา ลักซ์ (Shama Luxe)” “ชามา (Shama) และ “ชามา ฮับ” (Shama Hub)” ซึ่งทั้ง 3 รูปแบบจะมีความแตกต่างกันในเรื่องของขนาดห้องพัก ทำเล และการออกแบบตกแต่ง เพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลายของกลุ่มลูกค้าตั้งแต่ระดับ Upper Upscale จนถึง Upper Middle Scale
โดยในอนาคตอันใกล้นี้ กลุ่มออนิกซ์ฯมีแผนเพิ่มแบรนด์ Shama Hub ในประเทศไทย Shama Luxe ในประเทศมาเลเซีย และ Shama ใน สปป.ลาว อีกด้วย
ทั้งนี้ จุดเด่นของชามา (Shama) ที่แตกต่างจากเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์อื่น ๆ คือ ขนาดของห้องพักที่มีขนาดกว้างขวาง แบ่งสัดส่วนที่เหมาะสมต่อการอยู่อาศัยจริงของผู้พักอาศัยทุกรูปแบบ ตั้งแต่นักธุรกิจที่เดินทางคนเดียวไปจนถึงครอบครัวใหญ่ที่ต้องการบ้านหลังที่ 2 สำหรับสมาชิกทุกคนในครอบครัว
พร้อมทั้งมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบสนองต่อการใช้ชีวิตประจำวัน รวมถึงยังมีการให้บริการดูแลผู้อยู่อาศัยด้วยมาตรฐานระดับโรงแรมตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน และทุกแห่งยังตั้งอยู่ในทำเลย่านใจกลางเมือง ที่รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก และง่ายต่อการเดินทาง
เรียกว่าเป็นการช่วยยกระดับประสบการณ์การพักอาศัยทั้งระยะสั้นและระยะยาว และสุขภาวะ ตลอดจนผสมผสานวิถีชีวิต การทำงาน การเดินทาง และการพักผ่อนอย่างลงตัว ส่งเสริมการใช้ชีวิตเรียบง่ายท่ามกลางสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ เพื่อให้ผู้เข้าพักรู้สึกเสมือนว่า ชามา เป็นบ้านหลังที่ 2 ที่มอบความสุขและความอบอุ่นทุกครั้งที่เข้าพัก
5 ปี “ชามา” เติบโตพุ่ง 200%
“ยุทธชัย” ให้ข้อมูลว่า ที่ผ่านมาแบรนด์ “ชามา” มีการเติบโตอย่างโดดเด่นมาก โดยในประเทศไทยมีการเติบโตถึง 200% ใน 5 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ในฮ่องกงก็ถือเป็นแบรนด์อันดับ 1 ด้านบริการเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ระดับนานาชาติ โดยมีจำนวนที่พักในฮ่องกงถึง 7 แห่ง
ปัจจุบัน ออนิกซ์ฯมีจำนวนที่พักภายใต้แบรนด์ชามา มากกว่า 2,500 ยูนิต จากทั้งหมด 20 แห่งในประเทศไทย, จีน, ฮ่องกง และมาเลเชีย ผลประกอบการปัจจุบันพบว่า โตกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 3% และเติบโตกว่า 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันจากปีก่อน และคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้เติบโตเพิ่มขึ้น 52% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในปี 2562
วันนี้โพซิชันนิ่งของแบรนด์ชามา สูงกว่าแบรนด์โอ๊ควูด (Oakwood) อยู่ในระดับเดียวกับแอสคอทท์ (Ascoot) แต่ราคาต่ำกว่า และพยายามสร้างความแตกต่างให้แบรนด์มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งหากจะดูคู่แข่งโดยตรงในตลาด จะมีเพียงแค่แบรนด์สเตย์บริดจ์ (Staybridge) ปัจจุบันชามาเป็นผู้นำตลาดเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ในฮ่องกงไปเรียบร้อยแล้ว
ส่วนในกรุงเทพฯ หรือประเทศไทย บริษัทก็มีแผนเพิ่มพร็อพเพอร์ตี้ให้ได้ถึงประมาณ 20 แห่งภายในอนาคต ขณะที่ตลาดจีนปัจจุบันตั้งเป้าหมายขยายให้ครอบคลุมที่ประมาณ 40-50 แห่งในอนาคตเช่นกัน
ต้นทุนบริหารต่ำ-กำไรสูง
“ยุทธชัย” บอกด้วยว่า เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์เป็นธุรกิจที่มีต้นทุนการบริหารจัดการต่ำกว่าธุรกิจโรงแรม ยิ่งหากสามารถมีจำนวนเครือข่ายที่มากขึ้น ต้นทุนเฉลี่ยต่อสาขาก็จะยิ่งต่ำลง ซี่งหมายความว่าศักยภาพในการทำกำไรที่ดีขึ้นด้วย
“เรามีเซลส์เน็ตเวิร์ก มีโนว์ฮาวที่สามารถบริหารแบบเทเลอร์เมดได้ ที่สำคัญ เรามีความรู้เรื่องสภาพตลาดในภูมิภาคนี้ดี ทำให้สามารถขับเคลื่อนได้เร็ว อย่างตลาดมาเลเซียเราก็เริ่มทยอยปูพรม ปรับเปลี่ยนแบรนด์อย่างต่อเนื่อง คาดว่าพอร์ตของแบรนด์ชามาน่าจะสร้างรายได้ในสัดส่วนราว 50% ในอีก 3 ปีข้างหน้า”
นอกจากนี้ยังพบว่าตลาดอาคารสำนักงานก็กำลังพลิกฟื้นกลับมาแล้ว จากในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาตลาดอยู่ในภาวะโอเวอร์ซัพพลาย คนทำงาน WFH ไม่ต้องการออฟฟิศ แต่ปัจจุบันดีมานด์พื้นที่อาคารสำนักงานเริ่มกลับมาแล้ว แน่นอนส่งผลให้ดีมานด์ของเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์กลับมาเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้นด้วย
ขณะเดียวกันหากเปรียบเทียบกับธุรกิจโรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ยังเป็นธุรกิจต้นทุนบริหารต่ำ แต่มีศักยภาพในการทำกำไรสูง กล่าวคือโรงแรมแบรนด์ “อมารี” มีศักยภาพทำรายได้เป็นอันดับ 1 เพราะชาร์จราคาได้สูง แต่กำไรต่ำสุด เพราะต้นทุนการดำเนินงาน
นี่คือ เหตุผลสำคัญที่ทำให้ “ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้กรุ๊ป” เบนเข็มมาโฟกัสในธุรกิจเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์เพิ่มขึ้น และตั้งเป้าให้แบรนด์ “ชามา” ขึ้นแท่นผู้นำในตลาดเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์อย่างชัดเจนในอนาคต