
“วีระศักดิ์” เผย “กรมสรรพากร” ชงเพิ่มผู้ประกอบการตั้ง Downtown VAT Refund สำหรับนักท่องเที่ยวจาก 5 เป็น 10 แห่ง “ชนินทธ์ โทณวณิก” หนุนภาครัฐเร่งออกมาตรการส่งเสริมและลงทุนครั้งใหญ่ด้านการท่องเที่ยว หลังสัดส่วนรายได้ต่อจีดีพีทะลุ 21% รัฐสามารถจัดเก็บภาษีจากธุรกิจท่องเที่ยวทั้งทางตรง-ทางอ้อมรวมกันได้มากกว่า 4 แสนล้านบาทต่อปี
นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ โครงการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ จุดจำหน่ายสำหรับนักท่องเที่ยว (Downtown VAT Refund for Tourists) ซึ่งผลักดันโดยคณะทำงานสานพลังประชารัฐด้านการส่งเสริมท่องเที่ยวและไมซ์จากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เดิมมีกำหนดเปิดตัวราวเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่ได้เลื่อนออกไปโดยไม่มีกำหนดชัดเจน เพราะได้รับข้อเสนอแนะจากกรมสรรพากรให้เพิ่มจำนวนผู้ประกอบการที่พร้อมอำนวยความสะดวกเป็นจุดรับคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม
ทั้งนี้ จากเดิมที่มีผู้เข้าร่วม 5 แห่ง ได้แก่ สยามพารากอน, เซ็นทรัลเวิลด์, เซ็นทรัล ชิดลม, ดิ เอ็มโพเรียม และโรบินสัน สุขุมวิท อาจต้องเพิ่มเป็น 10 แห่ง ทั้งนี้ยืนยันว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดต่างเข้าใจถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยและเห็นชอบในหลักการ แต่ยังต้องทดสอบระบบให้เสถียรภาพก่อนเปิดตัวนำมาใช้
ด้านนายชนินทธ์ โทณวณิก ประธานคณะกรรมการบริหาร ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล ในฐานะหัวหน้าทีมภาคเอกชน คณะทำงานสานพลังประชารัฐ ด้านการส่งเสริมท่องเที่ยวและไมซ์ กล่าวว่า คณะทำงานประชารัฐด้านการส่งเสริมท่องเที่ยวและไมซ์ (การจัดประชุมสัมมนา ท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล และจัดแสดงสินค้า) ได้พยายามขับเคลื่อนโครงการต่าง ๆ อย่างเต็มที่ ก่อนจะหมดวาระการทำงานไปพร้อมกับรัฐบาลชุดปัจจุบัน โดยมีหลายโครงการที่ผ่านการวางแผนแล้ว และอยู่ระหว่างการผลักดันให้เป็นรูปธรรม ขณะที่บางโครงการก็ยังไม่เห็นแนวโน้มสำเร็จ แม้ว่าจะได้รับความเห็นชอบจากผู้บริหารในหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องแล้ว แต่ยังติดขัดในส่วนของกระบวนการทางราชการที่ล่าช้า
โดยนอกเหนือจากกระบวนการทางราชการที่ใช้เวลามากแล้ว ปัญหาส่วนใหญ่ที่พบคือ ในภาพรวมยังไม่เข้าใจความสำคัญของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการที่มีต่อเศรษฐกิจของไทย ทั้งที่เป็นตัวสร้างรายได้หลัก กระตุ้นเศรษฐกิจ และเป็นเครื่องมือในการสร้างงานได้มากที่สุด สูงกว่าอีก 2 อุตสาหกรรมหลักอย่างภาคธุรกิจอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม
ทั้งนี้ เห็นชัดเจนจากตัวเลขรายได้จากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวปัจจุบันครองสัดส่วนต่อจีดีพี 21% ก่อให้เกิดการจ้างงานกว่า 4.4 ล้านคน คิดเป็น 11.7% ของแรงงานทั้งหมด โดยรัฐสามารถจัดเก็บภาษีจากธุรกิจท่องเที่ยวทั้งทางตรงและทางอ้อมรวมกันได้มากถึง 4.01 แสนล้านบาทต่อปี
และเมื่อพิจารณาภาพรวมอัตราการจ้างงานในปัจจุบัน ภาคบริการซึ่งมีท่องเที่ยวรวมอยู่ด้วยครองสัดส่วนมากที่สุด คือ 52.2% มีสัดส่วนรายได้ต่อจีดีพี 55.6% ขณะที่ภาคการเกษตรอยู่ที่ 31.5% มีสัดส่วนรายได้ต่อจีดีพี 8.2% และอุตสาหกรรมอยู่ที่ 16.3% มีสัดส่วนรายได้ต่อจีดีพี 36.2% โดยภาคการเกษตรถือเป็นกลุ่มที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด มีอัตราถดถอย ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมไม่มีการเติบโตสูง แต่ภาครัฐให้ความสำคัญมาก ด้วยการส่งเสริมผ่านโครงการใหญ่ต่าง ๆ เช่น โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) รวมถึงอื่น ๆ ทั้งที่ปัจจุบันแนวทางการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และหุ่นยนต์ (โรโบติก) มีแนวโน้มเข้ามาแทนที่คนมากขึ้น และลดความต้องการใช้แรงงานไปเรื่อย ๆ
“ส่วนตัวมองว่าภาครัฐควรเร่งออกมาตรการส่งเสริมให้ภาคท่องเที่ยวและบริการเติบโต เพื่อหนุนเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้มากกว่านี้ เพราะภาคท่องเที่ยวและบริการยังช่วยเหลือตลาดแรงงานได้ แต่ที่ผ่านมายังไม่มีแผนส่งเสริมขนาดใหญ่เทียบเท่าภาคอื่น ๆ เลย จึงอยากให้ภาครัฐผลักดันโครงการตามที่คณะทำงานประชารัฐด้านท่องเที่ยวและไมซ์ได้นำเสนอตามแผน เพราะอายุการทำงานของคณะประชารัฐเองก็เหลือน้อยลงแล้ว”
นายชนินทธ์กล่าวต่อไปอีกว่า สำหรับโครงการต่าง ๆ ของคณะทำงานประชารัฐด้านการท่องเที่ยวและไมซ์ มีด้วยกัน 3 วัตถุประสงค์ คือ 1.การลดความเหลื่อมล้ำ ผ่านการผลักดันโครงการอะเมซิ่ง ไทย เทส มีกว่า 40 หน่วยงานภาครัฐและเอกชนเข้าร่วม เพื่อรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรมาแปรรูปจัดจำหน่ายให้นักท่องเที่ยว ทำให้ชุมชนระดับฐานรากมีรายได้เพิ่มขึ้นโครงการทัวร์ริมโขง ด้วยการดึงนักท่องเที่ยวจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อยกระดับทั้งเรื่องรายได้และบรรยากาศการท่องเที่ยวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งสร้างรายได้ต่ำเพียง 6 หมื่นล้านบาทต่อปีเท่านั้น ทั้งที่มีแหล่งท่องเที่ยวดี ๆ และน่าสนใจจำนวนมาก อาจเป็นเพราะอุปสรรคเรื่องการเดินทางระหว่างแหล่งท่องเที่ยวซึ่งใช้ระยะเวลาเดินทางค่อนข้างนาน ปัจจุบันทางกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้รับไม้ต่อแล้ว
ส่วนโครงการเนรมิตอยุธยา ทางคณะทำงานหวังให้เกิดการพัฒนาเป็นต้นแบบเมืองเก่าที่สามารถทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มได้ เหมือนกับเมืองเกียวโตของประเทศญี่ปุ่น หรือเมืองซีอานของประเทศจีน ก่อนต่อยอดโมเดลนี้ไปยังเมืองเก่าซึ่งมีแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์อื่น ๆ ในไทย เช่น สุโขทัย เชียงใหม่ และนครศรีธรรมราช เพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ แต่ยังติดขัดเรื่องที่รัฐอาจเห็นว่าใช้งบประมาณในการลงทุนสูงไป
2.การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ผ่านโครงการส่งเสริมตลาดไมซ์ ทั้งจากตลาดนานาชาติ ในประเทศ และระดับท้องถิ่น โดยในแต่ละปีมีการจัดประชุมสัมมนาภายในประเทศมากกว่า 6 หมื่นครั้ง, ช็อปปิ้งพาราไดส์, ดิจิทัลทัวริซึ่ม ซึ่งโครงการนี้หากพัฒนาให้ดีและเชื่อมโยงกับธุรกิจท่องเที่ยวในประเทศได้ จะช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอีได้เป็นอย่างดี สามารถดึงรายได้เข้าประเทศได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น ไม่เล็ดลอดไปยังธุรกิจออนไลน์ แทรเวลเอเย่นต์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทในต่างประเทศ, โครงการการยกเลิก ตม.6 ซึ่งได้นำร่องยกเลิกในคนไทยที่เดินทางเข้าออกประเทศ ไม่ต้องกรอกใบ ตม.6 แล้ว และโครงการอะเมซิ่ง ไทย โฮสต์ และ 3.การพัฒนาบุคลากร อยู่ระหว่างผลักดันให้กระทรวงศึกษาธิการออกนโยบายให้โรงเรียนระดับมัธยมศึกษาทำการเรียนการสอนด้านการท่องเที่ยวและบริการเพื่อเตรียมคนให้พร้อม และเข้าใจอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการก่อนเข้าสู่ตลาดแรงงาน