
คอลัมน์ : สัมภาษณ์
งาน South Asia’s Travel & Tourism Exchange (SATTE) 2025 เป็นงานแสดงสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียใต้ จัดขึ้น ณ กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย โดยมีผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวจากทั่วโลกเข้าร่วมอย่างคับคั่ง ระหว่างวันที่ 19-21 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา
สำหรับประเทศไทยปีนี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้นำผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทยเข้าร่วมจำนวน 50 ราย แบ่งเป็น ผู้ประกอบการโรงแรมที่พัก จำนวน 27 ราย ผู้ประกอบการบริษัทนำเที่ยว จำนวน 14 ราย ผู้ประกอบการแหล่งท่องเที่ยว (สวนสนุกและสนามกอล์ฟ) จำนวน 7 ราย และผู้ประกอบการเรือนำเที่ยว จำนวน 2 ราย
ในงานดังกล่าว “ประชาชาติธุรกิจ” ได้ร่วมสัมภาษณ์ “จักรพล ตั้งสุทธิธรรม” ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ถึงเป้าหมายการดึงนักท่องเที่ยวอินเดีย วิธีสร้างความประทับใจ ความปลอดภัย และการจัดอีเวนต์ใหญ่ที่จะเกิดขึ้นตลอดทั้งปี 2568 ดังนี้
ตั้งเป้าปี’68 อินเดียเข้าไทย 2.4 ล้าน
“จักรพล” บอกว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-18 กุมภาพันธ์ 2568 มีนักท่องเที่ยวจากอินเดียเดินทางเข้ามาประเทศไทยแล้วกว่า 2 แสนคน โดยตั้งเป้าตลอดทั้งปี 2568 ไว้ที่จำนวน 2.4 ล้านคน จากปีที่แล้วที่ปิดตัวเลขที่ 2.1 ล้านคน หรือมีตัวเลขรายได้ของคลัสเตอร์กลุ่มอินเดียอยู่ที่ประมาณ 1 แสนล้านบาทต่อปี โดยคาดว่าจะเป็นตลาดที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุดเป็นอันดับ 3
ทั้งนี้ ได้มีการพูดคุยกับสายการบินของทั้ง 2 ประเทศ เพื่อเพิ่มเที่ยวบินระหว่างไทย-อินเดีย ให้ได้ถึง 3.5 ล้านที่นั่ง ในปี 2568 เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่มีประมาณ 2.9 ล้านที่นั่ง รวมถึงทำแคมเปญ ทำอีเวนต์ดี ๆ ร่วมกันตลอดทั้งปี เพื่อเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวอินเดียเดินทางมาสัมผัสประสบการณ์ท่องเที่ยวอันทรงคุณค่าและน่าประทับใจ
ขณะที่ ททท.สำนักงานนิวเดลี และมุมไบ ก็ทำงานอย่างใกล้ชิดกับกลุ่มประเทศที่นี่ ฉะนั้นตัวเลขเป้าหมายที่ตั้งไว้ไม่น่าจะไม่ถึง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องการมากกว่านั้นคือ ความประทับใจ ความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว เพื่อให้นักท่องเที่ยวที่มาแล้วอยากกลับมาเที่ยวซ้ำอีก
อัดมาตรการกระตุ้นทุกรูปแบบ
สำหรับแนวทางการส่งเสริมและกระตุ้นการเดินทางของตลาดอินเดียนั้น ททท.สำนักงานในอินเดีย (นิวเดลี และมุมไบ) จะมุ่งส่งเสริมตลาดร่วมกับพันธมิตร บริษัทนำเที่ยว และสายการบินทุกรูปแบบ เพื่อกระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวทั่วไป โดยเฉพาะกลุ่ม High Value และ Sustainability มากขึ้น
โดยเฉพาะกลุ่ม Active Senior และ Lady Travelers โดยนำเสนอสินค้าและกิจกรรมท่องเที่ยวที่เน้นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมากขึ้น เน้นทำงานกับผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทยที่ดำเนินงานตามกรอบ SDG
จัดทำ Special Promotion Scheme for Corporate or Incentive Group ตั้งแต่นี้ไปจนถึงเดือนกรกฎาคม 2568 โดยสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้แก่ผู้ประกอบการกลุ่ม Corporate หรือ Incentive ที่อยู่ในพื้นที่อินเดียภาคเหนือและภาคตะวันออก, บังกลาเทศ, เนปาล และภูฏาน ตามเงื่อนไขที่กำหนด
ในส่วนของกลุ่ม Corporate และ Incentive จะร่วมออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางของแต่ละคณะไม่เกินประมาณ 99,000 บาท คำนวณตามจำนวนผู้ร่วมคณะที่เดินทางจริง ตามเงื่อนไขที่กำหนด
กลุ่ม Wedding/Celebrations ภายใต้โครงการ The Celebrations with Care & Inner Shine 2025 โดยจะร่วมออกค่าบัตรโดยสารเครื่องบินสำหรับ Wedding Planner หรือ Event Organizer ที่เดินทางไปจัดงานที่ประเทศไทย จำนวน 1 ใบ ในวงเงินไม่เกินประมาณ 38,250 บาท
พร้อมจัดป้ายต้อนรับสำหรับคณะที่เลือกจัดงานที่โรงแรมซึ่งเข้าร่วมโครงการ The Celebrations with Care และมอบบัตรกำนัล Wellness Treatment จำนวน 10 ใบ
รวมถึงทำ Joint/Sale&Promotion กับบริษัทนำเที่ยวในพื้นที่ อาทิ Clear Trip และ Akbar Holidays ส่งเสริมการขายแพ็กเกจท่องเที่ยวประเทศไทยสำหรับกลุ่ม Leisure, Corporate, Incentive ควบคู่ไปกับโฆษณาประเทศไทยผ่านช่องทาง Social Media ครอบคลุมทั่วประเทศอินเดีย
นอกจากนี้ยังมีกำหนดจัดงานส่งเสริมการท่องเที่ยว Amazing Thailand Roadshow to India 2025 เพื่อนำผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทยเข้าพบปะเจรจาธุรกิจกับผู้แทนบริษัทนำเที่ยวอินเดียในพื้นที่เมืองศักยภาพต่าง ๆ ในวันที่ 5-7-9 พฤษภาคม 2568 ณ เมืองกัลกัตตา นิวเดลี และมุมไบ
ดันไทยปลายทางระดับพรีเมี่ยม
“จักรพล” บอกอีกว่า ปัจจุบันจำนวนวันพักเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวอินเดียอยู่ที่ 6-7 วัน มีอัตราการใช้จ่ายต่อคนต่อทริปอยู่ที่ประมาณ 36,000-37,000 บาท หากประเทศไทยหวังกลุ่ม Luxury Tourism (การท่องเที่ยวแบบหรูหรา) จะต้องผลักดันนโยบายหลาย ๆ อย่างที่จะชูแต่ละจังหวัดที่ท่านนายกรัฐมนตรี (แพทองธาร ชินวัตร) และท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (สรวงศ์ เทียนทอง) เดินทางไป
โดยรัฐบาลจะมีหมุดหมายอยู่แล้วว่าตรงนี้เริ่มมีความกระทบเรื่องสิ่งแวดล้อม ตรงนี้มันเริ่ม Over Demand หรือ Over Supply และจะผลักดันพื้นที่ไหนให้เป็น Premium Destination (จุดหมายปลายทางระดับพรีเมี่ยม) หรือกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ใช้ชีวิตหรู ซึ่งประเด็นนี้ก็จะขยายในหลาย ๆ คลัสเตอร์
เตรียมจัดใหญ่ สงกรานต์ ทั่วไทย
ในส่วนของอีเวนต์นั้น “จักรพล” บอกว่า อีเวนต์หลักที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ คือ “มหาสงกรานต์” ที่มีแผนจะจัดใหญ่ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และ 5 จังหวัดใหญ่ ตรงนี้เป็นอีเวนต์ใหญ่ที่เป็นการ Celebrate ใหญ่ที่สุด เป็นปีใหม่ไทย เป็นแคมเปญที่จะชูว่าสงกรานต์ไทยปีนี้เป็น “มหาสงกรานต์” จริง ๆ อย่างที่ท่านนายกรัฐมนตรีจะจัดแถลงข่าวที่ทำเนียบรัฐบาลว่า มหาสงกรานต์ เป็น Summer Festival
“เราประสบความสำเร็จในเรื่องของ Winter Festival ไปแล้ว Summer Festival นี้ก็จะเป็นตัวชูโรงอีกอย่างหนึ่งที่จะกระตุ้นนักท่องเที่ยวเข้ามา รวมถึงภายใต้กรอบของ Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year ที่มีอีเวนต์ มหาอีเวนต์มากมาย และอีเวนต์ที่จะเกิดขึ้นตลอดปีทั่วไทย ตรงนี้จะเป็นแม่เหล็กอย่างดี จะเป็นปีที่ Grand ด้านการท่องเที่ยวอย่างแท้จริง”
พร้อมบอกด้วยว่า เนื่องด้วยเทศกาล “สงกรานต์” ของไทยได้ประกาศจากยูเนสโกให้ขึ้นเป็นมรดกโลก เพราะฉะนั้น กระทรวงที่เกี่ยวข้องคือ กระทรวงวัฒนธรรม ก็จะเป็นแม่งาน โดยมีกระทรวงการท่องเที่ยวฯร่วมผลักดัน เพื่อให้แคมเปญนี้ออกมาดีที่สุดและดังที่สุดในประเทศไทย ซึ่งจะเผยแพร่ไปทั่วโลกว่าประเทศไทยมีอีเวนต์ที่ใหญ่ และสำคัญกับชาวไทย เป็นสวัสดีปีใหม่ไทย
และตั้งเป้าว่าจะทำให้ “สงกรานต์” ปีนี้เป็นการเฉลิมฉลองที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา