
“ไมเนอร์ โฮเทลส์” บริษัทผู้ดำเนินธุรกิจการบริการระดับโลก มีโรงแรม รีสอร์ต และที่พักอาศัยมากกว่า 560 แห่ง ใน 58 ประเทศ ภายใต้ 8 แบรนด์ อาทิ อนันตรา, อวานี, เอเลวาน่า, คอลเลคชั่น, เอ็นเอช, เอ็นเอช คอลเลคชั่น ฯลฯ
ล่าสุดได้ประกาศรีแบรนด์ครั้งใหญ่สู่การเป็นแบรนด์ที่มุ่งเน้นการให้บริการลูกค้าโดยตรง และตอกย้ำความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์ประสบการณ์การบริการที่ก้าวล้ำ และเปี่ยมไปด้วยความเข้าใจ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของแขกผู้ใช้บริการให้เกิดความพอใจสูงสุดในทุกมิติ
ตอกย้ำแบรนด์ “ไมเนอร์ โฮเทลส์”
“เอียน ดิ ทูลลิโอ” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์ของไมเนอร์ โฮเทลส์ ให้ข้อมูลว่า การรีแบรนด์ครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และเป็นก้าวสำคัญในการเติบโตของธุรกิจโรงแรมระดับโลกสำหรับไมเนอร์ โฮเทลส์

เป็นการเสริมสร้างอัตลักษณ์ใหม่ให้กับแบรนด์ รวมถึงขยายขอบเขตธุรกิจด้วยการสร้างประสบการณ์ที่ตรงตามความต้องการของลูกค้าและนักลงทุนในอนาคต และเป็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อมุ่งเน้นการให้บริการลูกค้าโดยตรงผ่านประสบการณ์ดิจิทัลที่ล้ำสมัย โปรแกรมสมาชิกที่ใช้งานง่าย และช่องทางการขายที่ทันสมัย เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
โดยรวบแบรนด์ทั้งหมดมาไว้ภายใต้แบรนด์หลัก “ไมเนอร์ โฮเทลส์” ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของกลุ่มโรงแรมให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และทำให้แบรนด์ของไมเนอร์ โฮเทลส์ เป็นที่รู้จักในวงกว้าง
พร้อมทั้งออกแบบโลโก้ใหม่ที่มีหัวลูกศรในตัวอักษร “M” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการนำทางไปสู่การค้นพบ การเชื่อมต่อ และการผจญภัย พร้อมสะท้อนถึงบทบาทของไมเนอร์ โฮเทลส์ ในการสร้างเส้นทางแห่งประสบการณ์ที่มีความหมายสำหรับแขกผู้เข้าใช้บริการ
และเสริมด้วยสีสัน ฟอนต์ที่เป็นเอกลักษณ์ และสไตล์ภาพถ่ายที่สะดุดตา โดยได้รับแรงบันดาลใจจากแนวคิด “What Matters Most” หรือ “สิ่งที่สำคัญที่สุด” ที่สะท้อนถึงความต้องการและความปรารถนาของลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจ
บริการทุกแบรนด์ในแอปเดียว
นอกจากนี้ ยังปรับโฉมเว็บไซต์ minorhotels.com ใหม่ให้กลายเป็นแพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์การใช้งานของผู้บริโภค และวางให้เว็บไซต์นี้ทำหน้าที่เป็นช่องทางหลักสำหรับการจองที่พักจากโรงแรมในเครือกว่า 560 แห่ง รวมถึงการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับจุดหมายปลายทางต่าง ๆ
รวมทั้งเปิดตัวแอปพลิเคชั่นใหม่ที่รวบรวมบริการทุกแบรนด์ในเครือมาไว้ในที่เดียว ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าสามารถทำการจอง จัดการการจอง ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยว และติดต่อทีมโรงแรมผ่านแอปพลิเคชั่นเดียว
และปรับปรุงโปรแกรมสมาชิกให้ดีขึ้น โดยมีโปรแกรม Minor DISCOVERY มาแทนที่โปรแกรมสมาชิกเดิมของแต่ละแบรนด์โรงแรม เช่น Anantara DISCOVERY, Avani DISCOVERY, NH DISCOVERY และอื่น ๆ
โดยจะให้สิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกผ่านการสะสมคะแนนพร้อมรับสิทธิประโยชน์ เช่น การได้รับเงินคืน 4-7% ในรูปแบบ DISCOVERY DOLLARS (D$1 = US$1) นอกจากนี้สมาชิกยังสามารถเข้าถึงข้อเสนอพิเศษจากโรงแรมในเครือและสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมสำหรับสมาชิกระดับสูง
พร้อมกันนี้ ยังได้เปิดตัว Minor PRO ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มใหม่ที่มุ่งให้บริการแก่กลุ่มลูกค้า B2B เช่น นักวางแผนอีเวนต์ และตัวแทนท่องเที่ยว โดยรวมแพลตฟอร์มเดิมของแต่ละแบรนด์ไว้ในที่เดียว เพื่อมอบโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ากลุ่มมืออาชีพ
เพิ่มกว่า 300 โรงแรมภายในปี’70
ทั้งนี้ “ไมเนอร์ โฮเทลส์” วางแผนจะขยายพอร์ตโฟลิโอโรงแรมเพิ่มขึ้นอีกกว่า 300 แห่ง ภายในปี 2570 โดยแผนการขยายตัวดังกล่าวนี้ได้รับการสนับสนุนจากการเข้าซื้อกิจการของเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป (NH Hotel Group) ในปี 2561 ซึ่งปัจจุบันดำเนินงานภายใต้ชื่อ Minor Hotels Europe & Americas ที่เป็นส่วนช่วยขยายขอบเขตธุรกิจของกลุ่มให้เติบโตขึ้นถึงสามเท่าบนเวทีโลก
โดยมีแผนที่จะขยายแบรนด์เพิ่มเป็น 10-11 แบรนด์ในอนาคต เพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลาย และขยายขอบเขตธุรกิจไปยังตลาดใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพสูง ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก
“การขยายแบรนด์ใหม่ ๆ เช่นนี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับเครือข่ายโรงแรมของกลุ่มไมเนอร์ฯ และทำให้สามารถครอบคลุมกลุ่มลูกค้าในระดับต่าง ๆ ได้อย่างครบถ้วนมากยิ่งขึ้น”
พร้อมย้ำว่า แม้กลุ่มไมเนอร์ฯ จะปรับโฉมหน้าแบรนด์หลัก แต่โรงแรมในเครือแต่ละแบรนด์ก็จะยังคงรักษาเอกลักษณ์เฉพาะตัวเดิมเอาไว้ ซึ่งรวมถึงเว็บไซต์และกลยุทธ์ทางการตลาดของตนเอง ขณะที่ทุกแบรนด์จะได้รับประโยชน์จากการพัฒนาแบรนด์หลัก ไมเนอร์ โฮเทลส์ ควบคู่ไปด้วย
โดยการพัฒนาในครั้งนี้ยังมาพร้อมกับการปรับโครงสร้างแบรนด์ โดยจัดกลุ่มโรงแรมออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ลักเซอรี่ (Luxury) พรีเมี่ยม (Premium) และซีเลกต์ (Select) เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถเลือกโรงแรมที่เหมาะกับความต้องการของตนเอง
ที่สำคัญ โรงแรมในทุกกลุ่มยังมีแผนขยายพอร์ตโฟลิโอแบรนด์โรงแรมเพิ่มเติม เพื่อตอบสนองความต้องการของทั้งแขกผู้เข้าพักและเจ้าของโรงแรม โดยมีแผนจะเปิดตัวแบรนด์ใหม่อย่างน้อย 2 แบรนด์ภายในปีนี้