
ข้อมูลจากการสำรวจดัชนีท่องเที่ยวไตรมาส 1/2568 ที่ผ่านมา ซึ่งจัดทำโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สทท.) ที่ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการท่องเที่ยวยังอยู่ในระดับ 83 ต่ำกว่าระดับปกติ (100) บวกกับปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นระลอก นับตั้งแต่ประเด็นปัญหาเรื่องความไม่ปลอดภัย (กรณีนักแสดงชาวจีนถูกลักพาตัว) แผ่นดินไหว (ต้นกำเนิดที่เมียนมา)
รวมถึงล่าสุดคือปัญหาเศรษฐกิจระดับโลก ซึ่งเป็นผลจากนโยบาย โดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้หลายฝ่ายต่างวิตกกังวลว่าปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้จะส่งผลต่อบรรยากาศการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวทั่วโลก
อเมริกาเที่ยวไทย 8.5 หมื่นล้าน
การสำรวจครั้งนี้ ได้คาดการณ์ว่านโยบายของ “โดนัลด์ ทรัมป์” จะทำให้เกิดความไม่แน่นอนและเกิดความปั่นป่วนของเศรษฐกิจโลกจากสงครามการค้าที่สหรัฐจะขึ้นภาษีนำเข้ามาเป็นเครื่องมือเจรจาต่อรอง โดยประเทศไทยติดอันดับที่ 11 ของประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐ และอาเซียนเองก็เกินดุลการค้าเป็นอันดับ 2 รองจากจีน
นั่นหมายความว่า อาจทำให้ “ไทย” และ “อาเซียน” อาจตกเป็นเป้าหมายของมาตรการทางการค้าของสหรัฐ ซึ่งจะส่งผลต่อภาคการค้าของไทยและอาจจะกระทบถึงภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในอนาคต
ทั้งนี้ จากข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ระบุว่า ปี 2567 ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวจากสหรัฐอเมริกา ติดอันดับ 9 ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเที่ยวไทยสูงสุดรวม 1.03 ล้านคน สร้างรายได้ราว 7 หมื่นล้านบาท
ส่วนปี 2568 นี้ ตั้งเป้ามีนักท่องเที่ยวจากสหรัฐอเมริกาที่ 1.14 ล้านคน สร้างรายได้รวมราว 8.5 หมื่นล้านบาท
กระทบมู้ดเที่ยวทั่วโลก
“เทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์” นายกสมาคมโรงแรมไทย (THA) มองว่า นโยบายกีดกันทางการค้าผ่านการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ที่ประกาศออกไปเมื่อสัปดาห์ก่อนนั้น ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน รวมถึงบรรยากาศในการใช้จ่ายทั่วไป ทั้งนักท่องเที่ยว นักธุรกิจ ที่อาจต้องคิดว่าควรต้องเก็บเงินสดไว้มากขึ้น และกังวลเรื่องเศรษฐกิจในอนาคต

จากบรรยากาศ (Sentiment) ที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้มองว่าภาคการท่องเที่ยวไทยมีความน่าเป็นห่วงมากขึ้น เพราะน่าจะได้รับผลกระทบด้วยแน่นอน โดยเฉพาะตลาดหลัก ๆ อย่างนักท่องเที่ยวจีนที่ถูกขึ้นภาษีในอัตราสูงมาก รวมถึงตลาดอื่น ๆ ที่สหรัฐปรับขึ้นอัตราภาษีในอัตราที่สูง และยิ่งหากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวทุกประเทศทั่วโลกได้รับผลกระทบแน่
ส.โรงแรมลุ้นแค่ 35 ล้านคน
“เทียนประสิทธิ์” บอกว่า สุดท้ายเศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย คนไทยอาจต้องกลับสู่การใช้ชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง ใช้จ่ายเฉพาะในประเทศ ทำการค้าขายในภูมิภาคเดียวกันให้มากขึ้น
ทั้งนี้ การที่รัฐบาลเตรียมกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศผ่านโครงการเที่ยวคนละครึ่งนั้น ถือว่ามาถูกทางแล้ว ที่เหลือคือต้องออกให้ถูกจังหวะ สถานการณ์ตอนนี้ยังมีผลกระทบความกังวลจากประเด็นเชิงลบต่าง ๆ ดังนั้นต้องเร่งให้โครงการนี้โดยเร็ว
“สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศอื่น ๆ มีการตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศอื่นในสหรัฐ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างแน่นอน”
ดังนั้น จึงประเมินว่าปี 2568 นี้ ประเทศไทยจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติใกล้เคียงกับปี 2567 หรือราว 35 ล้านคน
โดยมีประเด็นที่น่าเป็นห่วงคือ เมื่อภาพรวมเศรษฐกิจไม่ดี ธุรกิจก็จะกลับมาแข่งขันในด้านราคากันดุเดือดมากขึ้น เพราะ “ดีมานด์” น้อยลงกว่าเดิมนั่นเอง
ย้ำไทยฮับเซาท์อีสต์เอเชีย
“ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์” ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ท่องเที่ยวโลกจากการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์ว่า เป็นได้ทั้งโอกาสและอุปสรรคทางการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นนโยบาย America First การลดหย่อนภาษี ค่าเงิน รวมถึงการยกเลิกกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เอื้อต่อการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐ ฯลฯ

ประเด็นต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนส่งผลต่อการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศของชาวอเมริกันทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม ททท.ก็พยายามนำเสนอจุดขายทางการท่องเที่ยวว่า ไทยเป็น Hub ทางการท่องเที่ยวใน Southeast Asia และเชื่อมต่อไปยังทวีปอื่น ๆ และเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ด้วยความพร้อมของสินค้าและบริการท่องเที่ยวที่หลากหลาย มีวัฒนธรรม หรือ “เสน่ห์ไทย” เพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิมและขยายฐานลูกค้าใหม่ในหลายพื้นที่ของสหรัฐอเมริกา