‘ไฮแอท รีเจนซี่’ สุขุมวิท ดัน ‘หมอนทอง’ หนุน Gastronomy Tourism

Hyatt Regency

เมื่อโลกของการท่องเที่ยวไม่ได้หยุดอยู่แค่ “การเดินทาง” แต่กลายเป็นการแสวงหาประสบการณ์ที่ลึกซึ้งและมีความหมายมากขึ้นในทุกมิติ “อาหาร” จึงเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างประสบการณ์

โดยเฉพาะในประเทศไทยดินแดนที่มีวัฒนธรรมการกินที่หลากหลายและเป็นเอกลักษณ์ จนได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของนักชิมระดับโลก

การท่องเที่ยวเชิงอาหาร หรือ Gastronomy Tourism กำลังกลายเป็นแรงขับเคลื่อนใหม่ที่ทรงพลังของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยที่กำลังฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง หลังวิกฤตโควิด-19 และแนวโน้มใช้จ่ายเพื่อ “ประสบการณ์เฉพาะถิ่น” ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นสตรีตฟู้ดริมทาง หรือเมนูรังสรรค์ในโรงแรมระดับ 5 ดาว

“อาหารไทย” ในฐานะซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติจึงกำลังเปิดมิติใหม่ที่ทั้งโลกจับตามอง

“แซมมี่ คาโรลุส” ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพฯ สุขุมวิท บอกว่า โรงแรมได้ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ไทย ซึ่งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในระดับโลก ด้วยการเปิดตัวแคมเปญพิเศษรับฤดูท่องเที่ยวหน้าร้อน “Durian Decadent Afternoon Tea” โดยนำทุเรียนหมอนทองเกรดพรีเมี่ยมจากสวน Toby’s Farm จังหวัดจันทบุรี มารังสรรค์เป็นเมนูน้ำชายามบ่ายระดับ 5 ดาวโดยหวังว่าจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ที่ต้องการประสบการณ์เฉพาะถิ่น พร้อมยกระดับซอฟต์พาวเวอร์ไทยให้ตอบโจทย์บริบทสากลมากยิ่งขึ้น

Hyatt Regency

ADVERTISMENT

“ธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยวไทยกำลังเข้าสู่ช่วงฟื้นตัวที่แข็งแกร่ง ด้วยรายได้ธุรกิจโรงแรมที่คาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าราว 9.0-9.6 แสนล้านบาท ในปี 2567-2568 อัตราการเข้าพักและราคาห้องพักเฉลี่ยกลับมาใกล้เคียงระดับก่อนโควิด ช่วงนี้จึงเป็นโอกาสทองของผู้ประกอบการในการสร้างประสบการณ์ที่แตกต่าง โดยเฉพาะการใช้แคมเปญเชิงวัฒนธรรมและอาหาร เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศที่กำลังกลับมาเที่ยวเมืองไทยให้คึกคักอีกครั้ง”

พร้อมบอกด้วยว่า เทรนด์ของ Gastronomy Tourism กำลังกลายเป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวโลก โดยข้อมูลจาก Credence Research ระบุว่า ตลาดการท่องเที่ยวเชิงอาหารของประเทศไทย ในปี 2567 มีมูลค่าสูงถึง 32,489.66 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.17 ล้านล้านบาท และคาดว่าจะขยายตัวแตะ 80,730.95 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยกว่า 2.9 ล้านล้านบาท ภายในปี 2575 คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) สูงถึง 12.05%

อีกทั้งรายงานจาก World Food Travel Association ยังชี้ว่า นักท่องเที่ยวกว่า 53% เลือกจุดหมายจาก “อาหารและเครื่องดื่ม” ที่อยากลิ้มลอง โดยกลุ่มนักชิมเหล่านี้มีแนวโน้มใช้จ่ายมากกว่านักท่องเที่ยวทั่วไปถึง 25-35% และมักเลือกพักในโรงแรมระดับ 4-5 ดาว

และย้ำว่า แนวโน้มดังกล่าวสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ “ไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพฯ สุขุมวิท” ที่มุ่งนำเสนอประสบการณ์เฉพาะถิ่นผ่านบริการระดับพรีเมี่ยม

สำหรับแคมเปญ Durian Decadent Afternoon Tea ถือเป็นความพยายามผสมผสาน “วัฒนธรรมอาหาร” เข้ากับบริการระดับโลก โดยใช้ทุเรียนหมอนทอง ราชาผลไม้ของไทยเป็นวัตถุดิบหลัก พร้อมนำเสนอในรูปแบบใหม่ ที่ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติสามารถเข้าถึงได้ ผ่านประสบการณ์ Afternoon Tea ที่ครบทั้งรสชาติ ความสร้างสรรค์ และการเล่าเรื่อง

Hyatt Regency

อาทิ สโคนทุเรียนและแยมสับปะรด, เค้กชิฟฟ่อนทุเรียน, พานาคอตต้าทุเรียน, ข้าวเหนียวทุเรียน, มาการองมะขาม ฯลฯ เสิร์ฟคู่ของคาว เช่น เปาะเปี๊ยะทุเรียนชีส, แซนด์วิชอะโวคาโดซัลซ่า เป็นต้น พร้อมเครื่องดื่มร้อนเย็น และเจลาโต้ทุเรียน ฯลฯ เสิร์ฟในราคาชุดละ 800++ บาท/ท่าน และ 1,500++ บาท สำหรับ 2 ท่าน สิ้นสุดถึง 31 พฤษภาคม 2568

“ไทยเป็นผู้นำตลาดทุเรียนสดของโลก มีตลาดหลักคือ จีน ฮ่องกง และไต้หวัน และ Mordor Intelligence คาดว่า ตลาดทุเรียนโลกจะขยายตัวจาก 10.78 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2025 เป็น 16.89 พันล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2030 ซึ่งสะท้อนโอกาสในการเพิ่มมูลค่าผลไม้ไทยผ่านประสบการณ์ระดับสากลอย่างแท้จริง”

ดังนั้น การผลักดันทุเรียนเข้าสู่ Gastronomy Tourism จึงเป็นแนวทางที่ตอบโจทย์ทั้งในด้านเศรษฐกิจท้องถิ่น และการสร้างภาพลักษณ์สินค้าเกษตรไทยในระดับโลก

และเชื่อว่า การท่องเที่ยวเชิงอาหารจะกลายเป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ ที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจชาติในหลากหลายมิติ โดยแคมเปญ “Durian Decadent Afternoon Tea” คือ กรณีศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า “ซอฟต์พาวเวอร์ไทย” สามารถถูกต่อยอดให้สร้างรายได้ สร้างภาพจำ และสร้างความภูมิใจให้กับประเทศได้ในระดับโลก