‘แอร์บัส’ ปักหมุดลงทุนในไทย ดันสู่ฮับ ‘การบิน-เทคโนโลยี’ ของภูมิภาค

pca_Cover_photo1

“แอร์บัส” เผยอุตสาหกรรมการบินเอเชีย-แปซิฟิกมีความต้องการเครื่องบินใหม่กว่า 20,000 ลำ ในอีก 20 ปีข้างหน้า ขณะที่ไทยเป็นหนึ่งในตลาดขนาดใหญ่ของภูมิภาค ทั้งด้านการจ้างงาน โครงสร้างพื้นฐาน ความพร้อมด้านเทคโนโลยี ปักหมุดลงทุน-เปิดสำนักงานกลางกรุงเทพฯ หวังยกระดับไทยสู่ศูนย์กลางการบิน-เทคโนโลยี-พลังงานสะอาดของภูมิภาค

นายอานันท์ สแตนลีย์ ประธานแอร์บัส ประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เปิดเผยว่า จากข้อมูลของแอร์บัสคาดว่าภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกมีความต้องการเครื่องบินใหม่กว่า 20,000 ลำ ในอีก 20 ปีข้างหน้า หรือคิดเป็นเกือบ 50% ของความต้องการเครื่องบินทั่วโลก โดยประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในตลาดขนาดใหญ่ที่สุดของภูมิภาค ทั้งในแง่ของการจ้างงาน โครงสร้างพื้นฐาน และความพร้อมด้านเทคโนโลยี

โดยอุตสาหกรรมการบินยังมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย คิดเป็นกว่า 7% ของ GDP และมีการจ้างงานกว่า 130,000 ตำแหน่งในช่วงก่อนเกิดโควิด-19 และเพื่อเดินหน้าขับเคลื่อนกลยุทธ์การลงทุนระยะยาวในประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม แอร์บัสได้ประกาศเปิดสำนักงานแห่งใหม่ขนาดใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ บนพื้นที่กว่า 1,200 ตารางเมตร รองรับบุคลากรเกือบ 200 คนจากทุกสายธุรกิจของบริษัท

สำนักงานแห่งใหม่ของแอร์บัสในกรุงเทพฯ นี้ ได้รวมเอาบุคลากรทางเทคนิค ผู้เชี่ยวชาญจาก 17 ประเทศพร้อมตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านการปฏิบัติการบินที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค โดยมีการติดตั้งห้อง Simulation Lab สำหรับทดสอบระบบซอฟต์แวร์ก่อนนำไปใช้จริงในสายการบินระดับโลก

ภายในสำนักงานยังเป็นที่ตั้งของ NAVBLUE บริษัทในเครือของแอร์บัส ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัลและโซลูชั่นการปฏิบัติการบินระดับสูง รองรับลูกค้าทั่วโลกจากฐานในกรุงเทพฯ สะท้อนแนวคิด “Local for Global” ที่เน้นการพัฒนาเทคโนโลยีระดับโลกจากฐานปฏิบัติการในพื้นที่จริง

นายอานันท์กล่าวด้วยว่า การเปิดสำนักงานใหม่ในกรุงเทพฯ ไม่ใช่แค่การขยายพื้นที่ แต่คือการลงทุนเพื่ออนาคต ซึ่งแอร์บัสมีเป้าหมายระยะยาวในการสนับสนุนวิสัยทัศน์ของไทยในการเป็นศูนย์กลางการบิน เทคโนโลยี และอุตสาหกรรมอวกาศของอาเซียน จากความร่วมมือที่มีมาตั้งแต่ปี 2520 วันนี้แอร์บัสพร้อมเดินหน้าสู่บทใหม่ของความสัมพันธ์ ตอกย้ำพันธกิจที่มีต่อประเทศไทยอย่างแท้จริง ทั้งนี้ การขยายตัวของแอร์บัสในไทยไม่เพียงสะท้อนถึงความมั่นใจในตลาด แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณถึงบทบาทใหม่ของประเทศไทย ในฐานะศูนย์กลางอุตสาหกรรมการบินระดับภูมิภาค ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม และความยั่งยืน

“ความสัมพันธ์ระหว่างแอร์บัสและประเทศไทยเริ่มต้นเมื่อการบินไทยสั่งซื้อเครื่องบิน A300B4 เป็นความร่วมมือกว่า 40 ปี ปัจจุบันเครื่องบินแอร์บัสได้ให้บริการอยู่ในฝูงบินของสายการบินหลักของไทยทั้งหมด ทั้งการบินไทย บางกอกแอร์เวย์ส ไทยแอร์เอเชีย และไทยเวียตเจ็ท โดยมีการเตรียมรับมอบ A321neo รุ่นใหม่ในปีนี้ ที่จะมาพร้อมที่นั่งชั้นธุรกิจรูปแบบใหม่”

ADVERTISMENT

นอกจากกลุ่มเครื่องบินพาณิชย์แล้ว แอร์บัสยังเป็นผู้จัดหาเฮลิคอปเตอร์กว่า 70 ลำให้กับภาครัฐและเอกชนของไทย โดยเฉพาะ H225M และ H145M ที่ใช้งานในภารกิจค้นหา ช่วยเหลือ และลำเลียงของกองทัพไทย รวมถึงเครื่องบิน C295 สำหรับลำเลียงสัมภาระและกำลังพล ขณะที่ในภาคอวกาศ แอร์บัสยังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาดาวเทียมของไทย ได้แก่ THEOS-1 และ THEOS-2 ซึ่งได้ขึ้นสู่วงโคจรในปี 2566 และมีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการทรัพยากร รวมถึงการเฝ้าระวังภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยล่าสุดแอร์บัสได้มีส่วนช่วยไทยวิเคราะห์ข้อมูลในเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เพิ่งเกิดขึ้นด้วย

นายอานันท์กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า อีกประเด็นที่แอร์บัสให้ความสำคัญคือ การพัฒนาเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน หรือ SAF โดยมองว่าไทยมีศักยภาพในการผลิตมากกว่า 5 ล้านตันต่อปี จากวัตถุดิบทางการเกษตรที่หลากหลาย เช่น กากน้ำตาล ฟางข้าว ซังข้าวโพด และมูลสัตว์ ซึ่งเพียงพอต่อความต้องการของอุตสาหกรรมการบินทั้งประเทศในช่วงก่อนโควิด-19

“SAF คือโอกาสใหม่ของประเทศไทย ไม่ใช่แค่ด้านสิ่งแวดล้อม แต่ยังรวมถึงความมั่นคงทางพลังงาน การพัฒนาเศรษฐกิจชนบท และการสร้างห่วงโซ่อุตสาหกรรมใหม่อย่างยั่งยืน แอร์บัสพร้อมร่วมมือกับภาครัฐและภาคเอกชนไทยในการผลักดันให้เกิดการลงทุนใน SAF อย่างเป็นระบบ เพื่อปูทางสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตเชื้อเพลิงสะอาดของภูมิภาค” นายอานันท์กล่าว