นักท่องเที่ยวมาเลย์พุ่งแซงจีนขึ้นอันดับ 1 โรงแรมชูแคมเปญใหม่ Staycation

นักท่องเที่ยวจีนยอดร่วงหนักต่อเนื่อง มาเลเซียมาแรงแซงขึ้นเบอร์ 1 ททท.เร่งขบวนรถท่องเที่ยวจากปาดังเบซาร์ขึ้นเหนือ พร้อมกระตุ้นตลาดอินเดีย-มิดเดิลอีสต์ “ดุสิตธานี” มุ่งการตลาดแบบพุ่งเป้า สมาคมโรงแรมไทยชี้มีกลยุทธ์การขายหลากหลายขึ้น ชูแคมเปญ Staycation ลด แลก แจก แถม

แหล่งข่าวในธุรกิจท่องเที่ยวเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่าภาคธุรกิจท่องเที่ยวของไทยยังคงอยู่ในสถานะชะลอตัวต่อเนื่อง โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้ระบุว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤษภาคม 2568 (5 เดือนแรก) ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสม 14.36 ล้านคน ลดลง 2.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 และมีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมประมาณ 672,000 ล้านบาท และพบว่าจำนวนนักท่องเที่ยวมาเลเซียเริ่มปรับตัวดีขึ้น สวนทางกับนักท่องเที่ยวจีนมาอย่างชัดเจน

โดยตั้งแต่กลางเดือนมีนาคมประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวมาเลเซียประมาณ 80,000 คนต่อสัปดาห์ และเพิ่มเป็น 100,000 คนต่อสัปดาห์ในช่วงสงกรานต์ ปัจจุบันมีจำนวนเฉลี่ยประมาณ 70,000-80,000 คนต่อสัปดาห์ ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนมีจำนวนเฉลี่ยราว 60,000-65,000 คนต่อสัปดาห์

“ภาพรวมในเดือนพฤษภาคม 2568 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทย 2.26 ล้านคน ลดลงถึง 13.93% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน และคาดว่าจะยังลดลงต่อเนื่องในเดือนมิถุนายนนี้ เนื่องจากเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของหลายตลาด”

จีนร่วงหนัก “มาเลย์” แซงขึ้น No.1

จากแนวโน้มนี้ส่งผลให้โครงสร้างจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมของประเทศไทยเปลี่ยนไป โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวมาเลเซียแซงหน้านักท่องเที่ยวจีนอย่างชัดเจนในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และรายงานล่าสุด ณ วันที่ 9 มิถุนายน 2568 พบว่าตั้งแต่ 1 มกราคม-8 มิถุนายน 2568 ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวมาเลเซียสูงสุดเป็นอันดับ 1 ด้วยจำนวน 2.041 ล้านคน รองลงมาคือจีนจำนวน 2.029 ล้านคน และอินเดีย 1.035 ล้านคน

“แม้ว่าที่ผ่านมารัฐบาลจะทุ่มสร้างงบฯ จัดอีเวนต์ใหญ่เพื่อสร้างความเชื่อมั่นจากตลาดจีน และจนขณะนี้สถิติของจำนวนนักท่องเที่ยวก็ยังอยู่ในภาวะชะลอตัวต่อเนื่องเหมือนเดิม ซึ่งประเด็นนี้น่าจะยังคงเป็นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาลต่อไป”

สอดรับกับนายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่กล่าวว่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-8 มิถุนายน 2568 ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสะสมรวม 15.016 ล้านคน โดยจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ มาเลเซีย 2,041,002 คน จีน 2,029,481 คน อินเดีย 1,035,864 คน รัสเซีย 981,011 คน และเกาหลีใต้ 702,267 คน

ADVERTISMENT

ดึง “แอร์ไลน์-รถไฟขนมาเลย์ขึ้นเหนือ

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า นักท่องเที่ยวตลาดมาเลเซียมีทิศทางการเติบโตที่ดีมากต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2567 ที่มีจำนวนมากถึง 4.95 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ก่อนโควิดที่มีจำนวน 4.27 ล้านคน โดยมั่นใจว่าปี 2568 นี้ตลาดนักท่องเที่ยวมาเลเซียจะมีจำนวนทะลุ 5 ล้านคนได้ไม่ยากนัก

โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับสายการบินมาเลเซีย เพื่อเปิดเส้นทางบินใหม่สู่เชียงใหม่ เพื่อให้เชียงใหม่เป็นศูนย์กลางในการกระจายนักท่องเที่ยวมาเลเซียไปยังจังหวัดและภูมิภาคใกล้เคียง รวมถึงทำงานร่วมกับการรถไฟฯ และเอเย่นต์ทัวร์มาเลเซีย เพื่อเปิดเส้นทางท่องเที่ยวโดยรถไฟจากปาดังเบซาร์ในรูปแบบเช่าเหมาขบวนรถไฟ (Train Charter) ขึ้นสู่ภาคเหนือไปสิ้นสุดที่เชียงใหม่ เป็นต้น

ทั้งนี้ เพื่อแก้โจทย์ที่นักท่องเที่ยวมาเลเซียส่วนใหญ่ยังนิยมเดินทางโดยรถยนต์ ผ่านด่านเข้ามาเที่ยวในจังหวัดภาคใต้เป็นหลัก การเพิ่มเส้นทางท่องเที่ยวโดยสายการบินและรถไฟนั้น ระยะยาวจะสามารถช่วยกระจายนักท่องเที่ยวมาเลเซียไปภาคเหนือและภูมิภาคอื่น ๆ ของประเทศได้เป็นอย่างดี และมีโอกาสเพิ่มจำนวนได้มากขึ้นด้วย” นางสาวฐาปนีย์กล่าว

ปั๊ม “อินเดีย-มิดเดิลอีสต์” หนุน

นางสาวฐาปนีย์กล่าวด้วยว่า นอกจากตลาดมาเลเซียที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องแล้ว ยังมีตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตอื่น ๆ อีกจำนวนมาก เช่น อินเดีย มิดเดิลอีสต์ รวมถึงตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกล โดยในส่วนของตลาดอินเดียนั้น จะมุ่งกระตุ้นให้เกิดการเดินทางครั้งแรกของนักท่องเที่ยวอินเดีย (First Visitor)

พร้อมทั้งเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพ เช่น กลุ่ม Family, Incentive, Wedding & Celebrations, Lady Travelers, Active Senior, Millennials, Luxury Leisure และ Golf เป็นต้น โดยปีนี้ ททท.ตั้งเป้ามีนักท่องเที่ยวอินเดียทะลุเป้าหมาย 2.3 ล้านคน

“นักท่องเที่ยวอินเดียถือเป็นตลาดระยะใกล้ที่มีศักยภาพสูง โดยปี 2567 ที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวอินเดียเดินทางเข้ามาเที่ยวไทย 2.129 ล้านคน เป็นจำนวนสูงที่สุดในประวัติการณ์ นับเป็นตลาดที่น่าจับตามอง และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง”

เช่นเดียวกับตลาดมิดเดิลอีสต์ หรือกลุ่มตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มที่มีการใช้จ่ายสูงเฉลี่ยราว 80,000-90,000 บาท/คน/ทริป นับว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงมาก พำนักนาน และส่วนใหญ่ยังมาไทยเป็นครั้งแรก จึงเป็นตลาดที่มีโอกาสเติบโตอีกมาก

โดยเฉพาะในกลุ่ม Wellness, Luxury, Halal-Friendly, กลุ่มครอบครัว และกลุ่มนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ Gen Y, Gen Z ที่มองหาประสบการณ์แปลกใหม่ และคาดว่าปีนี้ประเทศไทยจะมีนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางและแอฟริการาว 1.1 ล้านคน

นอกจากนี้ ตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกล (Long Haul Market) หลาย ๆ ตลาดก็มีศักยภาพในการเติบโตเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวจากยุโรป อเมริกา รัสเซีย คาซัคสถาน ฯลฯ ซึ่ง ททท.ได้เร่งทำการตลาดเต็มที่เช่นกัน

“ดุสิตธานี” มุ่งการตลาดแบบพุ่งเป้า

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารโรงแรมกว่า 290 แห่ง ใน 19 ประเทศ กล่าวว่า จากแนวโน้มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่อยู่ในภาวะชะลอตัว รวมถึงภาวะเศรษฐกิจที่ยังกังวลนั้น กลุ่มดุสิตธานีได้พยายามปรับตัวในแง่ของการให้บริการและกลยุทธ์การตลาดให้สอดรับกับเทรนด์การเดินทางท่องเที่ยวมาอย่างต่อเนื่อง

โดยมีเป้าหมายไม่พึ่งพาจำนวนนักท่องเที่ยวในปริมาณที่มาก ด้วยการมุ่งทำการตลาดแบบพุ่งเป้ามากขึ้น เช่น เจาะกลุ่มการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เจาะกลุ่มพำนักยาว (Long Stay) กลุ่มทำงานที่ทำงานไปด้วย (Workation) กลุ่ม Sustainable หรือกลุ่มที่มองหาการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ รวมถึงนักท่องเที่ยวกลุ่มเดินทางเพื่อธุรกิจ (Bleisure=Business+Leisure)

จากเทรนด์ดังกล่าวนี้ บริษัทได้ปรับกลยุทธ์รองรับเฉพาะกลุ่มมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งทำงานร่วมกับพันธมิตรที่หลากหลาย เช่น โรงแรมกับสายการบิน, โรงแรมกับแหล่งท่องเที่ยว, โรงแรมกับกิจกรรมท่องเที่ยว ฯลฯ

“พฤติกรรมนักท่องเที่ยววันนี้เปลี่ยนไปมาก การตลาดแบบเดิม ๆ อาจไม่ตรงเป้า เราต้องพุ่งเป้าให้ตรง นอกจากให้สอดรับกับเทรนด์แล้ว ยังต้องโฟกัสพฤติกรรมเชิงลึกของนักท่องเที่ยวแต่ละตลาดให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งปัจจุบันเราใช้ AI มาช่วยทำแพ็กเกจสำหรับเสนอขายให้กับนักท่องเที่ยวแต่ละตลาดและแต่ละเซ็กเมนต์ เพื่อให้ตรงเป้ามากยิ่งขึ้นด้วย” นางศุภจีกล่าว

ส.โรงแรมชี้กลยุทธ์หลากหลายขึ้น

สอดรับกับนายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (THA) ที่กล่าวในทิศทางเดียวกันว่า ปัจจุบันจะเห็นการทำการตลาดในรูปแบบใหม่และหลากหลายของกลุ่มธุรกิจโรงแรมเพิ่มมากขึ้น โดยนอกจากจะทำแพ็กเกจเพื่อรองรับกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นแล้ว ยังมีการออกแบบแพ็กเกจให้เหมาะสมกับสภาพตลาดในแต่ละช่วงเวลา และนโยบายและกลยุทธ์ของแต่ละแบรนด์

โดยที่ผ่านมาพบว่าหลายโรงแรมยอมให้อัตราการเข้าพักลดลง เพื่อเลือกใช้วิธีรักษาระดับราคาขายไว้ เพื่อไม่ให้เสียราคา แล้วใช้วิธีลด แลก แจก แถม เช่น ทำแคมเปญ Staycation พักตั้งแต่ 3 คืนขึ้นไปแถมสปา หรือแถมเครื่องดื่ม หรือให้ส่วนลดร้านอาหาร ฯลฯ ขณะที่บางโรงแรมก็เลือกใช้วิธีลดราคาเพื่อเพิ่มอัตราการเข้าพักให้เป็นไปตามเป้าหมาย เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม หากดูจากผลการสำรวจดัชนีเชื่อมั่นผู้ประกอบการที่พักเดือนพฤษภาคม 2568 ที่ทำงานร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่าอัตราการเข้าพักเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมามีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ในระดับ 56% ปรับตัวลดลงจากเดือนเมษายนที่มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยที่ 63% ซึ่งเป็นการลดลงตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง และคาดว่าจะลดลงเหลือประมาณ 52% ในเดือนมิถุนายนนี้