
คอลัมน์ : สัมภาษณ์พิเศษ
จากที่ประชุมคณะกรรมการค่าจ้าง (ไตรภาคี) ชุดที่ 22 ครั้งที่ 6/2568 เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 มีมติเห็นชอบให้ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำใหม่เป็นวันละ 400 บาท ในหลายพื้นที่และบางกิจการทั่วประเทศ ประกอบด้วยพื้นที่กรุงเทพฯ (ทั่วพื้นที่) ส่วนต่างจังหวัดปรับเฉพาะบางกิจการ ได้แก่ โรงแรมตั้งแต่ระดับ 2 ดาวขึ้นไป หรือโรงแรมที่มีห้องพัก 50 ห้องขึ้นไปที่มีห้องอาหารในโรงแรม
รวมถึงสถานบริการ ตามพระราชบัญญัติสถานบริการ เช่น คาราโอเกะ ค็อกเทลเลานจ์ เป็นต้น และจะนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป
แบกต้นทุนอ่วม-นทท.ไม่มี
“ประชาชาติธุรกิจ” ได้สัมภาษณ์พิเศษ “เทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์” นายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) ถึงประเด็นดังกล่าว ทั้งในด้านผลกระทบและข้อเสนอแนะ
“เทียนประสิทธิ์” บอกว่าปัจจุบันธุรกิจท่องเที่ยวของไทยยังอยู่ในภาวะที่ชะลอตัว จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติยังติดลบ ผู้ประกอบการในภาคธุรกิจโรงแรมส่วนใหญ่ธุรกิจไม่ดี และขาดสภาพคล่อง จึงมองว่าข้อสรุปของคณะกรรมการค่าจ้าง หรือไตรภาคีที่ประกาศออกมานั้น ส่งผลกระทบกับต้นทุนการดำเนินงานของผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมแน่นอน โดยเฉพาะในต่างจังหวัด
ทั้งนี้ หากดูจากฐานข้อมูลค่าจ้างขั้นต่ำ ณ ปัจจุบันพบว่าสถานประกอบการโรงแรมในต่างจังหวัดจะได้รับผลกระทบในด้านต้นทุนเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10-15% เช่น ตรัง น่าน พะเยา แพร่ ปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 15.94% เชียงใหม่ เพิ่มขึ้น 12.04% กาญจนบุรี เชียงราย ประจวบคีรีขันธ์ พังงา พิษณุโลก สุราษฎร์ธานี เพิ่มขึ้น 13.64% ฯลฯ
หรือกรณีพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ (นราธิวาส ปัตตานี ยะลา) ปัจจุบันค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ที่ 337 บาทต่อวัน เท่ากับว่าปรับเพิ่มขึ้นถึง 18.69% เป็นต้น ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้าไปไม่ได้มีมากนัก
สำหรับในพื้นที่กรุงเทพฯ นั้น การปรับขึ้นรอบนี้ยังถือว่าอยู่ในระดับที่รับได้ในหลักการและเหตุผล เพราะเป็นเมืองท่องเที่ยวหลักที่มีนักท่องเที่ยวเข้าไปหนาแน่น และยังเป็นการปรับขึ้นแค่ราว 7.5% จากอัตราเดิม 372 บาท เป็น 400 บาท
“การเพิ่มขึ้นของต้นทุนด้านค่าแรง 10-20% สำหรับจังหวัดที่ไม่ได้มีจำนวนนักท่องเที่ยวมากนั้น จะเป็นปัญหาต่อภาคธุรกิจและการท่องเที่ยวในระยะยาวแน่นอน และซ้ำเติมกลุ่มที่ขาดสภาพคล่องอยู่เป็นทุนเดิมอย่างมหาศาล”
จับตาโรงแรมทยอยปิดตัว
“เทียนประสิทธิ์” บอกด้วยว่า ปัจจุบันโรงแรมในจังหวัดที่ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว และโรงแรมขนาดเล็กส่วนใหญ่สภาพคล่องไม่ค่อยดี การเพิ่มต้นทุนให้ผู้ประกอบการแบบไม่เป็นธรรมแบบนี้ จะยิ่งทำให้ผู้ประกอบการบางส่วนไปต่อไม่ไหว และอาจนำไปสู่การเลิกจ้างพนักงาน หรือปรับเปลี่ยนวิธีการจ้างงาน
และท้ายที่สุดอาจมีบางส่วนต้อง “ปิดกิจการ” เช่นเดียวกับธุรกิจร้านอาหารที่เป็นข่าวอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา
“การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเหมือนฐานพีระมิด ยกฐานจากข้างล่าง เมื่อปรับขึ้นฐานด้านล่าง ตำแหน่งอื่น ๆ ที่อยู่ข้างบนก็กระทบกันไปหมด”
วอนรัฐกลับไปทบทวนใหม่
นอกจากนี้ ยังไม่เห็นด้วยกับการเลือกปรับขึ้นค่าแรงเฉพาะจังหวัดและบางอาชีพ โดยมองว่าเป็นการออกมาตรการที่ไม่เป็นธรรม และไม่แฟร์กับแรงงานในสายอาชีพอื่น ๆ และผู้ประกอบการอื่น ๆ ด้วย
“ในแง่ความยุติธรรมฝ่ายของแรงงานก็จะมองว่าอยู่ในพื้นที่เดียวกันทำไมคนทำงานโรงแรมได้ 400 บาท เราขายของอยู่หน้าโรงแรมทำไมไม่ได้ ขณะที่ในส่วนของผู้ประกอบการที่ตั้งหน้าตั้งตาหารายได้เพิ่ม เพื่อจะยกมาตรฐานโรงแรมของตัวเอง พยายามขยับดาว เพิ่มดาว แต่รัฐบาลกลับมาออกมาตรการ โดยระบุว่าโรงแรม 2 ดาวขึ้นไปจะต้องปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ สุดท้ายผู้ประกอบการก็อาจไม่อยากมีดาวก็ได้”
“เทียนประสิทธิ์” บอกอีกว่า ณ วันนี้ มาตรการนี้ยังเป็นเพียงข้อสรุปของคณะกรรมการค่าจ้าง หรือไตรภาคีเท่านั้น ยังไม่ผ่านที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) หากไม่ได้ผ่านการอนุมัติก็ถือว่าตกไป อย่างไรก็ตามระหว่างนี้ทางสมาคมโรงแรมไทยอยากให้รัฐบาลทบทวนใหม่อีกครั้ง โดยมองว่าหากรัฐบาลจะปรับขึ้น 400 บาท ควรจะขึ้นตามพื้นที่ และครอบคลุมทุกอาชีพ ไม่ใช่เลือกอาชีพใดอาชีพหนึ่ง
“ธุรกิจโรงแรมไม่มีใครต่ำกว่า 2 ดาว ที่สำคัญผู้ประกอบการที่ให้บริการแต่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นโรงแรมเข้าข่ายหรือไม่ ถ้าไม่เข้าข่ายอันนี้ยิ่งทำให้คนไม่อยากเข้ามาจดทะเบียนโรงแรม และไม่อยากจะยกระดับมาตรฐาน เพราะถ้าเข้าระบบจะต้องแบกรับต้นทุนค่าจ้างขั้นต่ำตามกรอบที่รัฐบาลกำหนด”
ย้ำคนทำถูกกฎหมายถูกซ้ำเติม
นายกสมาคมโรงแรมไทยยังย้ำด้วยว่า เวลานี้ไม่ต้องมองถึงเรื่องการขยับราคาห้องพักขึ้นเพื่อชดเชยต้นทุนค่าแรงที่เพิ่ม เพราะยังเห็นผู้ประกอบการแข่งขันด้านราคาอยู่ต่อเนื่องในช่วงโลว์ซีซั่น และนอกจากเราจะแข่งขันกันเองแล้ว ยังต้องแข่งขันในระดับภูมิภาคด้วย
กล่าวคือ หากเราขึ้นราคาตามต้นทุนค่าแรงที่เพิ่มขึ้น แต่ประเทศเพื่อนบ้านลดราคา ก็จะยิ่งทำให้ประเทศไทยไม่สามารถแข่งขันในระดับภูมิภาคได้
“แนวทางการปรับค่าจ้างขั้นต่ำของคณะกรรมการค่าจ้างครั้งนี้ นอกจากจะเพิ่มต้นทุนให้ผู้ประกอบการโรงแรมแล้ว ยังสวนทางกับนโยบายการส่งสริมการท่องเที่ยวเมืองรองด้วย เพราะแม้ว่าจะปลุกเมืองได้ แต่ซัพพลายเชนรองรับไม่พอ เพราะธุรกิจโรงแรมไม่สามารถรับมือกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้”
พร้อมทิ้งท้ายการสัมภาษณ์ด้วยคำถามว่า สำหรับโรงแรมที่เปิดให้บริการแต่ไม่ได้จดทะเบียน (ไม่มีใบอนุญาต) หรือโรงแรมที่ไม่มีดาว ไม่เข้าข่ายต้องปรับขึ้นค่าแรงตามประกาศใช่หรือไม่ หากใช่ถ้ามีบางคนยอมคืนใบอนุญาตแต่ยังเปิดให้บริการต่อไปรัฐบาลจะจัดการอย่างไร
เพราะหากรัฐบาลไม่มีมาตรการจัดการที่จริงจัง ผู้ประกอบการที่ถูกกฎหมายจะยิ่งถูกซ้ำเติมเข้าไปอีก