นายสันติสุข คล่องใช้ยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV และผู้บริหาร บริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด หรือ TAA เปิดเผยว่า ในครึ่งปีแรกปี 2561 AAV มีรายได้รวมอยู่ที่ 20,896.2 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 698.0 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่ TAA มีรายได้รวม 20,896.2 ล้านบาท และทำกำไรสุทธิที่ 1,267.1 ล้านบาท
โดยมีอัตราขนส่งผู้โดยสาร (load factor) ที่น่าพอใจอยู่ที่ร้อยละ 88 เท่ากับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และขนส่งผู้โดยสารรวมไปแล้ว 10.95 ล้านคน สูงขึ้นร้อยละ 15 ทั้งนี้ หากดูผลประกอบการเฉพาะไตรมาส 2 ปี 2561 AAV มีรายได้รวมอยู่ที่ 9,302.6 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 306.1 ล้านบาท ขณะที่ TAA มีรายได้รวม 9,302.5 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 567.5 ล้านบาท โดยสาเหตุหลักมาจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปรับตัวสูงขึ้นจากราคาน้ำมันเฉลี่ยที่สูงขึ้นกว่าปีก่อนร้อยละ 37
อย่างไรก็ตาม สถิติการดำเนินงานยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยมีอัตราขนส่งผู้โดยสารอยู่ที่ร้อยละ 85 และขนส่งผู้โดยสารรวม 5.31 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 13 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดย TAA ไม่ได้รับเครื่องบินเพิ่มในไตรมาสนี้ ทำให้ยังคงมีเครื่องบินประจำการ 59 ลำ โดยเพิ่มความถี่เที่ยวบินใน 4 เส้นทางบินที่ออกจากกรุงเทพฯ (ดอนเมือง) และ 1 เส้นทางบินที่ออกจากเชียงใหม่
“ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น เป็นเรื่องที่ท้าทาย เพราะน้ำมันเป็นต้นทุนหลักของทุกสายการบิน แต่เราก็ยังเชื่อมั่นว่าจะสามารถปรับตัวได้และมีผลประกอบการที่น่าพอใจในครึ่งปีหลัง”
นายสันติสุขกล่าวว่า เมื่อดูจากส่วนแบ่งการตลาดเส้นทางภายในประเทศยังพบว่า ไทยแอร์เอเชียยังรักษาความเป็นอันดับ 1 อยู่ที่ร้อยละ 33 โดยในครึ่งปีแรกที่ผ่านมาได้เปิดเส้นทางบินใหม่ไปแล้ว 7 เส้นทาง จากกรุงเทพฯ (ดอนเมือง) ไประนอง, ยะโฮร์บาห์รู, เฉิงตู และชุมพร รวมถึงจากภูเก็ตไปมาเก๊าและคุนหมิง อีกทั้งจากเชียงใหม่ไปอุดรธานี เพื่อชิงความได้เปรียบการเติบโตในอนาคตต่อไป
สำหรับในครึ่งปีหลังนี้ มั่นใจว่าไทยแอร์เอเชียจะปรับตัวกับสถานการณ์น้ำมันได้ดียิ่งขึ้น และเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยมองโอกาสในฐานปฏิบัติการการบินอื่น ๆ นอกกรุงเทพฯมาเสริมทัพ การนำเครื่องบินใหม่ไปประจำการที่เชียงใหม่เพิ่ม เพื่อเปิดบินตรงสู่เส้นทางระหว่างประเทศ เช่น บินตรงสู่ย่างกุ้ง ไทเป และฮานอย ซึ่งเปิดตัวไปแล้ว เป็นต้น
ด้านสายการบินนกแอร์ หรือ NOK จากรายงานจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระบุว่าไตรมาส 2 ปี 2561 บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวม 4,841.07 ล้านบาท มีผลขาดทุน 1,095.93 ล้านบาท แบ่งเป็นผลขาดทุนของบริษัทใหญ่ 829.74 ล้านบาท และขาดทุนจากส่วนที่เป็นของส่วนได้ส่วนเสียที่ไม่มีอำนาจควบคุม 266.19 ล้านบาท
โดยผลขาดทุนของบริษัทใหญ่ มาจากต้นทุนการดำเนินงานที่สูงกว่ารายได้ค่าโดยสารและรายได้จากการให้บริการ ซึ่งต้นทุนการดำเนินงานหลักของบริษัท ได้แก่ ต้นทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานที่ยังคงเพิ่มขึ้นจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันอากาศยาน ในขณะที่รายได้จากค่าโดยสารและรายได้จากการให้บริการจะใกล้เคียงกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า
สำหรับงบการเงินเฉพาะกิจการด้านรายได้จากการดำเนินงาน บริษัทมีรายได้รวม 3,354.69 ล้านบาท ลดลง 1.02% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีสาเหตุหลักมาจากการลดลงของรายได้อื่น ๆ ซึ่งมาจากการรับรู้กำไรจากการขายและเช่ากลับคืนเครื่องบินตามสัญญาเช่าดำเนินงานในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนจำนวน 126.05 ล้านบาท ในขณะที่รายได้จากค่าโดยสารและรายได้จากการให้บริการเพิ่มขึ้น 1.88% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตาม หากดูตัวเลขรวม 6 เดือนแรก (มกราคม-มิถุนายน) 2561 พบว่า มีรายได้รวม 7,671.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 2.6% ขาดทุนสุทธิ 774.68 ล้านบาท ลดลง 14.78%