“ปลัดพงษ์ภาณุ” มั่นใจ ท่องเที่ยวไทยปี”61 โตตามเป้า 3 ล้านล้าน

ท่ามกลางการเรียกร้องของกลุ่มผู้ประกอบการท่องเที่ยว เพื่อให้ภาครัฐออกมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมลงตราวีซ่า ณ สนามบิน หรือ visa on arrival มาช่วยกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวจีนอยู่ในขณะนี้ ในฟากของภาครัฐโดยกระทรวงการท่องเที่ยวฯยังคงยืนยันว่าการท่องเที่ยวในภาพรวมของไทยเวลานี้ยังอยู่ในทิศทางที่เติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้

“ประชาชาติธุรกิจ” ได้สัมภาษณ์พิเศษ “พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์” ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ถึงภาพรวมของสถานการณ์การท่องเที่ยวของไทย และตลาดนักท่องเที่ยวจีน รวมถึงแนวทางการปฏิรูปอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยให้สามารถเติบโตได้ยั่งยืนในอนาคต ไว้ดังนี้

“ปลัดพงษ์ภาณุ” บอกว่า ยอมรับว่าเขามีมุมมองที่แตกต่างจากผู้ประกอบการที่กำลังเรียกร้องให้รัฐช่วยเหลือด้วยการออกมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียม visa on arrival และก็มองว่าไม่มีความจำเป็นที่รัฐจะนำมาตรการนี้มาใช้ด้วยเหตุผลหลายประการ

ภาพรวมเที่ยวไทยไม่ได้เลวร้าย

โดยสถานการณ์ของนักท่องเที่ยวต่างชาติในไทยล่าสุดจนถึง ณ วันที่ 24-25 ตุลาคมที่ผ่านมาไม่ได้เลวร้ายอย่างที่น่าตกใจ ตัวเลขในช่วง 9 เดือนแรกที่กระทรวงการท่องเที่ยวฯเปิดเผยออก

มาคือ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติยังเติบโตอยู่ในระดับ 8% และในส่วนของรายได้เติบโตที่ระดับ 10-11% นอกจากนั้น ในส่วนของ “ไทยเที่ยวไทย” ก็มีอัตราการเพิ่มอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ทำให้เชื่อมั่นว่ารายได้จากการท่องเที่ยวรวมสำหรับปี 2561 นี้ยังเป็นไปตามเป้าหมาย 3 ล้านล้านบาทได้แน่นอน โดยที่รัฐไม่ต้องออกมาตรการอะไรออกมากระตุ้นและไม่ต้องยกเลิกค่าธรรมเนียม VOA และคาดว่าอัตราการเติบโตของรายได้รวมน่าจะเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 10%

อย่างไรก็ตามยอมรับว่า สำหรับตลาดนักท่องเที่ยวจีนนั้นในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมานี้ จำนวนนักท่องเที่ยวติดลบ และหากเทียบกับภาพรวมในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ซึ่งขยายตัวกว่า 20% พอมาเจอยอดตกในช่วงเดือนสิงหาคม กันยายน ซึ่งเดือนกันยายนตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนติดลบไปถึง 15% ทำให้รู้สึกว่าตลาดได้รับผลกระทบเยอะ

แต่พอมาเดือนตุลาคมซึ่งเข้าสู่ช่วงโกลเด้นวีกของจีน(1-9 ตุลาคม) อัตราการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนในช่วงโกลเด้นวีกยังโตได้ 3% ถ้าเทียบกับปีที่แล้ว ขณะที่ C-Trip ซึ่งเป็นเอเย่นใหญ่ของจีนก็ทำการสำรวจพบว่า ประเทศไทยยังคงเป็นอันดับ 1 ที่คนจีนออกไปมากที่สุด

นั่นหมายความว่าตลาดนักท่องเที่ยวจีนเริ่มกลับมาแล้ว เพียงแต่ยังไม่สู่ภาวะปกติเท่านั้น ที่สำคัญยังกลับมาแบบเป็นนักท่องเที่ยวเชิงคุณภาพด้วย

“ถ้าดูข้อมูลเมื่อ 3 ปีที่แล้ว คือ ตั้งแต่ปี 2559 จะพบว่าคุณภาพของนักท่องเที่ยวเราปรับตัวดีขึ้นมาโดยตลอดอัตราการใช้จ่ายต่อหัวต่อทริปของนักท่องเที่ยวจีนก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากราว 48,000 บาทปัจจุบันขึ้นมาเป็น 54,000 บาท ตัวเลขนี้ชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยไม่ได้เป็นcheap destination อีกต่อไปแล้ว”

และยังพบว่าูตัวเลขเดือนตุลาคม (1-27) จำนวนนักท่องเที่ยวจีนยังติดลบอยู่ที่ 3-4% เท่านั้น สะท้อนให้เห็นว่าสถานการณ์เริ่มกลับมาแล้ว แต่คนที่ยังประสบปัญหาอยู่คือ กลุ่มที่ทำกรุ๊ปทัวร์ กลุ่มโรงแรม 2-3 ดาว รับนักท่องเที่ยวที่คล้าย ๆ ศูนย์เหรียญจากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ “พงษ์ภาณุ” บอกว่า เป็นเรื่องจำเป็นมากที่ภาครัฐต้องดูข้อมูลให้ครบถ้วน ไม่เอากลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นที่ตั้ง และการที่จะเอารายได้จากภาษีมาจ่ายค่าธรรมเนียมให้บางกลุ่มมันก็ไม่ควร

สงครามการค้าทุบมู้ดคนจีน

“พงษ์ภาณุ” ยังบอกอีกว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนเกิดการชะลอการเดินทางคือ เรื่องภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ ซึ่งเป็นผลมาจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ทำให้ส่งผล

กระทบต่อค่าเงินหยวนที่ปรับตัวลดลง ซึ่งหากประเมินตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้พบว่า ค่าเงินหยวนของจีนปรับตัวลดลงไปถึง 6-7% ซึ่งถือว่าเยอะมาก

นอกจากนั้น ดัชนี้ตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ก็ปรับตัวลดลงเกือบ 30% ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของคนจีน ดังนั้น ถึงเราจะให้ฟรี VOA ก็ไม่มีผลเมื่อเทียบกับผลกระทบทางเศรษฐกิจบ้านเขา

ฟรี VOA ผลักภาระให้คนไทย

ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯยังบอกด้วยว่า ปัจจุบันรายได้จากค่าธรรมเนียม VOA เป็นรายได้ก้อนใหญ่มากก้อนหนึ่งของรัฐบาล ต่อปีคิดเป็นมูลค่าหลักหมื่นล้านบาทฉะนั้นในภาวะที่รัฐบาลไทยยังขาดดุลงบประมาณแผ่นดิน ถ้าเราไปยกเว้นภาษีตัวหนึ่ง แน่นอนว่าจะเป็นการผลักภาระให้ผู้เสียภาษีอีกตัวหนึ่ง อันนี้เป็นการยกเว้นภาษีให้กับต่างชาติ ผู้เสียภาษีไทยจะต้องรับภาระแทนนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ฉะนั้น คำถามก็คือว่า เราพร้อมที่จะผลักภาระค่าธรรมเนียม VOA ให้กับผู้เสียภาษีคนไทยหรือเปล่า อันนี้ก็เป็นโจทย์ที่อยากจะตั้งคำถาม เพราะรัฐบาลยังขาดดุลงบประมาณ ผู้เสียภาษีไทยยังเป็นคนจน ที่สำคัญ เวลาคนไทยเดินทางไปต่างประเทศก็ยังต้องจ่ายค่าธรรมเนียมวีซ่าแพง ๆ อยู่

หวั่นเกิด “โอเวอร์ทัวริซึ่ม”

“พงษ์ภาณุ” ย้ำว่า วิธีการทำการตลาดแบบเอานักท่องเที่ยวมาเยอะ ๆ นั้น ส่วนตัวมองว่ามันไม่ใช่เป้าหมาย เพราะมันสร้างผลกระทบหลาย ๆ ส่วน ทั้งการใช้ชีวิตของคนไทย ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ฯลฯ ซึ่งที่ผ่านมากรมอุทยานฯได้ปิดแหล่งท่องเที่ยวไปหลาย ๆ แห่ง เช่น เกาะสิมิลันพอเปิดใหม่ก็จำกัดนักท่องเที่ยวเข้าต่อวัน ปรากฏการณ์นี้เป็นสัญญาณที่ชี้ให้เห็นว่า ถ้าเราไปเน้นในเชิงปริมาณก็จะมีปัญหาตามมา และการเน้นปริมาณมากเกินไปก็จะเกิดปัญหาที่เรียกว่า “โอเวอร์ทัวริซึ่ม” ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลที่เราจะต้องยกเว้นค่าธรรมเนียม VOA เพื่อดึงให้นักท่องเที่ยวจีนเข้ามากันเยอะ ๆ เพราะจะเป็นการสร้างปัญหาโอเวอร์ทัวริซึ่มในประเทศไทย เหมือนเมื่อครั้งที่เกิดปรากฎการณ์ทัวร์ศูนย์เหรียญ

แนะลดพึ่งพาตลาดจีน

สำหรับแนวทางปฏิบัตินั้น “พงษ์ภาณุ”บอกว่า ทางกระทรวงการท่องเที่ยวฯยังคงเน้นโฟกัสนักท่องเที่ยวเชิงคุณภาพเป็นหลัก เพราะ 3 ปีที่ผ่านมาเราประสบความสำเร็จในการปราบทัวร์ศูนย์เหรียญแล้ว ฉะนั้นจะไม่กลับไปเอาปริมาณตามที่หลายฝ่ายพยายามผลักดันอยู่ในขณะนี้แน่นอน

โดยตามแผนปฏิรูปที่ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ได้สรุปไว้นั้นได้มุ่งไปที่ 3 มิติหลัก คือ มิติด้านของความปลอดภัย มิติของความสะดวก และมิติเรื่องความสะอาด

ขณะเดียวกัน เราก็ต้องมองในภาพรวมของการทำตลาด ซึ่งส่วนนี้ทางกระทรวงอยากฝากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ว่าจะต้องใช้มาตรการกระจายความเสี่ยง ด้วยการลดการพึ่งพาตลาดจีนลง และไปโฟกัสหาตลาดเกิดใหม่ ซึ่งที่ผ่านมา ททท.ก็ได้พยายามทำมาตลอดในช่วงที่ผ่านมา

ไม่ว่าจะเป็นตลาดทางเอเชียใต้, แอฟริกา, สหรัฐอเมริกา ฯลฯ รวมถึงตลาดอาเซียน ซึ่งปัจจุบันตลาดอาเซียนก็เติบโตสูงมาก และมีสัดส่วนเริ่มใกล้เคียงกับตลาดจีนแล้ว

อีกประเด็นคือ “ไทยเที่ยวไทย” ก็เป็นตลาดที่สำคัญมากเช่นกัน เพียงแต่ที่ผ่านมาคนในประเทศยังไม่ค่อยได้ใช้สิทธิ์ด้านมาตรการภาษีกันอย่างเต็มที่หนัก ดังนั้นในช่วงที่เหลืออีก 2 เดือน ของปีนี้ ทางกระทรวงจะเพิ่มน้ำหนักให้มากยิ่งขึ้น


ทั้งนี้ “พงษ์ภาณุ” มองว่า ประเทศไทยควรเอางบประมาณที่จะยกเว้นค่าธรรมเนียม VOA จำนวน 2,000 บาท ให้กับนักท่องเที่ยวจีนนั้นมาสนับสนุนตลาด “ไทยเที่ยวไทย” เพื่อให้คนไทยเที่ยวในประเทศกันได้สนุก และเต็มที่มากขึ้น น่าจะเป็นแนวทางที่ดีกว่า…