อโกด้าย้ำ “เศรษฐกิจแบ่งปัน” เวิร์ก บุกธุรกิจให้เช่าที่พักส่วนตัว

“อโกด้า” บุกหนักธุรกิจการให้เช่าที่พักส่วนตัวระยะสั้น เผยแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง สร้างประโยชน์ให้กับทุกฝ่าย ระบุผู้ให้เช่ามีรายได้ นักท่องเที่ยวมีทางเลือก ชุมชนเพิ่มรายได้ รัฐสามารถจัดเก็บภาษีทำนุบำรุง ชี้ควรร่วมกันหารือสร้างข้อตกลง เน้นย้ำเศรษฐกิจแบ่งปันช่วยเพิ่มความยั่งยืนให้การท่องเที่ยวไทย-ไม่ได้ทำลายธุรกิจโรงแรม

นายโรเบิร์ต โรเซ็นสไตน์ ผู้ก่อตั้งและประธาน บริษัท อโกด้า จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากการเข้ามาของเศรษฐกิจแบ่งปัน (sharing economy) ก่อให้เกิดดิสรัปชั่นที่สร้างทั้งข้อดีและข้อเสีย รวมถึงก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่างมาก ซึ่งอโกด้าก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้ผลกระทบจากธุรกิจการให้เช่าที่พักส่วนตัวระยะสั้นเช่นเดียวกัน ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิดและวิธีการทำงานตามสภาพตลาดที่เปลี่ยนไป

อย่างไรก็ตาม ยังมองว่าธุรกิจการให้เช่าที่พักส่วนตัวระยะสั้นจะยังคงเติบโตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง และในท้ายที่สุดเศรษฐกิจแบ่งปันจะเป็นผลดีต่อทั้งสังคมและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยว ผู้ให้เช่า ชุมชน และภาครัฐ อโกด้าจึงได้ตัดสินใจลงทุนทางการเงินและบุคลากร พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการให้บริการในธุรกิจการให้เช่าที่พักส่วนตัวระยะสั้นเพิ่มขึ้น

โดยปัจจุบันบริการที่มีผู้ใช้งานสูงสุดของอโกด้าเป็นอันดับที่ 1 คือ การจองโรงแรม อันดับที่ 2 คือ การจองที่พักส่วนตัวระยะสั้น และอันดับที่ 3 คือการจองตั๋วเครื่องบิน โดยอโกด้าอยู่ใน 10 อันดับของ OTA (Online Travel Agent) ที่มีจำนวนที่พักที่ไม่ใช่โรงแรมมากที่สุดรองจากบุ๊กกิ้งดอตคอม แอร์บีเอ็นบี เอ็กซ์พีเดีย และอื่น ๆ

โดยอโกด้ามีจำนวนที่พักที่ไม่ใช่โรงแรมทั้งสิ้น 1.1 ล้านแห่งทั่วโลก โดยในไทยมีจำนวนที่พักทั้งหมด 91,230 แห่ง และมีจำนวนที่พักที่ไม่ใช่โรงแรมประมาณ 6,000 แห่งในปี 2559 และเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 19,180 แห่งในปี 2560 ซึ่งไทยถือเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ในวงการธุรกิจที่พักส่วนตัวให้เช่าระยะสั้น

นายโรเบิร์ตกล่าวต่อไปว่า สำหรับแผนในอนาคตอโกด้าวางทิศทางการพัฒนาธุรกิจในการมุ่งเป็นผู้ประกอบการจองที่พักและตั๋วเครื่องบินที่มีตัวเลือกหลากหลายให้ลูกค้า โดยจะหันมาโฟกัสที่การให้เช่าที่พักส่วนตัวระยะสั้นมากขึ้น ผ่านกลยุทธ์ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีราคาที่มีคุณภาพและคุ้มค่ากับราคาที่จ่าย รวมถึงมีคุณค่าทางจิตใจจากการเรียนรู้วิถีชุมชน เพื่อให้เกิดการบอกต่อและนำมาสู่การเลือกใช้บริการเพิ่มขึ้น

โดยปัจจุบัน sharing economy ทั่วโลกกำลังเติบโตขึ้น 30% ต่อปี ขณะที่การให้เช่าที่พักแบบดั้งเดิมเติบโต 3% ต่อปี และคาดว่าภายในปี 2568 sharing economy จะเติบโตจนมีขนาดเท่ากับตลาดที่พักให้เช่าแบบดั้งเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชีย-แปซิฟิกที่มีอัตราการใช้บริการธุรกิจการให้เช่าที่พักส่วนตัวระยะสั้นมากกว่าภูมิภาคอื่น ๆ

“เราอยากให้เกิดการพูดคุยระหว่างทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือข้อคิดเห็นต่าง ๆ ทั้งข้อดีและข้อเสียของการเปิดบริการให้เช่าที่พักส่วนตัวระยะสั้น ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างข้อตกลงหรือการเสนอกฎหมายที่จะทำให้ sharingeconomy ก่อประโยชน์ให้แก่ทุกฝ่ายให้นักท่องเที่ยวมีทางเลือกมากขึ้นให้ผู้ปล่อยเช่ามีรายได้เพิ่มมากขึ้นให้ชุมชนได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจ

จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวรวมถึงให้ภาครัฐได้นำเอาภาษีไปก่อให้เกิดประโยชน์สาธารณะ”

นายโรเบิร์ตยังกล่าวถึงทิศทางการเติบโตของธุรกิจท่องเที่ยวไทยด้วยว่า จากความเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวสำคัญของโลก การท่องเที่ยวไทยจะยังคงโตต่อเนื่อง แต่ความท้าทายคือจะทำอย่างไรให้การท่องเที่ยวในไทยเป็นการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ดังนั้น การให้ความสำคัญกับธุรกิจที่พักส่วนตัวให้เช่าระยะสั้นที่จะเข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการเติมเต็มการกระจาย

รายได้ ลดการใช้ทรัพยากร และอื่น ๆ น่าจะเป็นส่วนสำคัญที่น่าจะนำมาพิจารณา

ขณะที่นายปีเตอร์ อัลเลน กรรมการฝ่ายอโกด้าเอาต์ไซด์กล่าวว่า ที่ผ่านมาอโกด้ายังไม่เคยหารือกับรัฐบาลไทยโดยตรง แต่มีการพูดคุยกับผู้ประกอบการประเภทธุรกิจเดียวกันบ้างแล้วถึงการสร้างข้อตกลงกับทุกภาคส่วน โดยในอนาคตคาดหวังที่จะได้เห็นการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจที่พักส่วนตัวให้เช่าระยะสั้น เช่นเดียวกับในญี่ปุ่น ออสเตรเลีย หรือบางมลรัฐของสหรัฐอเมริกา และเพื่อสร้างความเข้าในธุรกิจ sharing economy ให้มากขึ้น อโกด้าจึงได้เปิดตัวหนังสือ At Home Around the World ที่จะช่วยอธิบายถึงนโยบาย แนวโน้มตลาด และข้อมูลที่สนับสนุนให้เห็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของธุรกิจการให้เช่าที่พักส่วนตัวระยะสั้น รวมทั้งแสดงข้อดีและข้อเสียของธุรกิจด้วย