ปิดตำนาน 49 ปี “ดุสิตธานี” ยุคขยายเครือข่ายครอบคลุมทั่วโลก (2)

แม้ว่ากระแสความนิยมรูปแบบตะวันตกจะหลั่งไหลมาสู่ประเทศไทย แต่ “ดุสิตธานี” ยังยืนหยัดนำเสนอความเป็นไทย โดยมีผู้เชี่ยวชาญการตกแต่งแบบไทยให้คำปรึกษา พร้อมทั้งยังทำการปรับโฉมตามวาระ เพื่อให้เข้ายุคสมัยและบ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของโรงแรมที่เชิดชูความเป็นไทยให้เด่นนำเสมอ

“ดุสิตธานี” จึงเป็นโรงแรมที่ปรากฏชื่ออยู่ในหน้าข่าวสังคมในหนังสือพิมพ์และนิตยสารอยู่เป็นประจำ เพราะมีโอกาสต้อนรับบุคคลสำคัญที่มีชื่อเสียงทั้งคนไทยและชาวต่างชาติจากหลากหลายวงการ เช่น พระบรมวงศานุวงศ์ พระราชอาคันตุกะ ผู้นำประเทศ ดารา นักร้อง นักกีฬา รวมทั้งยังมีโอกาสจัดเลี้ยงงานสำคัญระดับประเทศ ทั้งงานประชุม งานบันเทิง งานสังคม ระดับที่ใครก็กล่าวขวัญถึง

“ชนินทธ์ โทณวณิก” ทายาทเจน 2 ของดุสิตธานี เล่าว่า การได้ต้อนรับลูกค้าประจำที่มาพักหรือใช้บริการอื่น ๆ ก็เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจ เพราะรอยยิ้ม ความพึงพอใจของลูกค้า และการกลับมาใช้บริการในครั้งต่อ ๆ ไป แสดงให้เห็นว่าความมุ่งมั่นตั้งใจสร้างโรงแรมที่เป็นของคนไทย มีเอกลักษณ์ความเป็นไทยให้ได้รับการยอมรับในมาตรฐานสากลมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งนั้นประสบความสำเร็จด้วยดี และจะเป็นแรงผลักดันให้มีการพัฒนาก้าวหน้ายิ่งขึ้นต่อไป

หลังจากเปิดให้บริการโรงแรมดุสิตธานีไปพักใหญ่ ในปี 2521 ได้มีการขยายห้องพักเพิ่มขึ้นอีก 237 ห้อง โดยสร้างอาคารสูง 14 ชั้นหลังใหม่ และปรับขยายห้องพักเดิมในอาคารหลังเก่าให้กว้างขึ้น พร้อมทั้งปรับภาพลักษณ์ให้ดูทันสมัยตามความนิยมที่เปลี่ยนไป

จากนั้นได้ลงทุนขยายธุรกิจออกไปทั่วประเทศ เพื่อรองรับการท่องเที่ยวของประเทศที่เติบโตอย่างรวดเร็ว รวมทั้งไปสร้างและร่วมบริหารงานโรงแรมในต่างประเทศอีกจำนวนมาก โดยโรงแรมที่กลุ่มดุสิตธานีลงทุนเองจะยังคงแนวคิดของการผสมผสานเอกลักษณ์ศิลปวัฒนธรรมไทย ซึ่งมี “ดุสิตธานี กรุงเทพฯ” เป็นต้นแบบ โดยจะทำการปรับบางส่วนให้เหมาะสมกับวัฒนธรรมในพื้นที่ที่เข้าไปลงทุน

ปัจจุบันกลุ่มดุสิตธานีประกอบด้วยโรงแรมและรีสอร์ตในเครือข่ายที่เปิดให้บริการไปแล้วร่วม 30 แห่งทั่วโลก ภายใต้แบรนด์ดุสิตธานี ดุสิตดีทู ดุสิตปริ๊นเซส ดุสิตเดวาราณา และแบรนด์น้องใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อต้นเดือนเมษายน 2561 ที่ผ่านมาคือ “อาศัย” หรือ ASAI

นอกจากนี้ ยังมีโรงแรมที่อยู่ในแผนการพัฒนาเพื่อเตรียมเปิดให้บริการเพิ่มในทั่วโลกอีกกว่า 50 แห่ง ภายในอีก 3-4 ปีข้างหน้า อาทิ ออสเตรเลีย ภูฏาน จีน อินโดนีเซีย เคนยา พม่า ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ตุรกี โอมาน กาตาร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ไม่เพียงแต่ธุรกิจโรงแรมเท่านั้น กลุ่มดุสิตธานียังดำเนินธุรกิจเทวารัณย์ สปา และการศึกษาด้วย โดยได้ก่อตั้งวิทยาลัยดุสิตธานีขึ้นในปี 2536 สถาบันการศึกษาระดับอาชีวศึกษาและปริญญา ซึ่งมีสาขาอยู่ที่กรุงเทพฯและพัทยา อีกทั้งยังบริหารโรงเรียนสอนประกอบอาหาร เลอ กอร์ดอง เบลอ ดุสิต อีกด้วย และล่าสุดเมื่อปี 2558 ยังได้เปิดโรงแรมดุสิตการโรงแรม หลักสูตรวุฒิบัตร และประกาศนียบัตร ซึ่งจะช่วยผลิตบุคลากรให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและโรงแรมของไทย

ไม่เพียงเท่านี้ ปัจจุบันกลุ่มดุสิตธานียังกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจด้วยการมองหาธุรกิจอื่น ๆ มาเสริมพอร์ตโฟลิโอในภาพรวมให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เพราะที่ผ่านมารายได้ส่วนใหญ่ยังมาจากธุรกิจโรงแรมเป็นหลัก

โดยเริ่มเห็นชัดเจนนับตั้งแต่ต้น 2560 ที่ผ่านมา ที่กลุ่มดุสิตธานีได้ลงทุนใน “Favstay” บริษัทสตาร์ตอัพด้านที่พักแบบแชริ่งอีโคโนมี

หลังจากนั้นก็ได้ลงทุนในธุรกิจอาหาร พร้อมทั้งตั้งบริษัทย่อย “ดุสิต ฟู้ดส์” เข้าซื้อหุ้น 26% ในบริษัท เอ็นอาร์อินสแตนท์โปรดิวซ์ จำกัด ผู้ผลิตและส่งออกอาหารแห้งและเครื่องปรุงรสให้กับบริษัทข้ามชาติ

ล่าสุดได้ประกาศเข้าลงทุนด้วยการซื้อหุ้นทั้งหมดในบริษัท LVM Holdings Pte Ltd. ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ในกลุ่ม Elite Havens ซึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจตลาดให้เช่าวิลล่าระดับบนในเอเชีย เพื่อรุกเข้าสู่ธุรกิจการบริหารจัดการและให้เช่าวิลล่าระดับหรูแบบครบวงจร ครอบคลุมประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งอินโดนีเซีย ศรีลังกา มัลดีฟส์ และไทย

…กว่า 49 ปีของการดำเนินงานจนถึงวันนี้ แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จดั่งความมุ่งมั่นของ “ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย” ผู้ก่อตั้งที่ต้องการสร้างโรงแรมไทยที่ได้มาตรฐานสากล และเผยแพร่เอกลักษณ์ของศิลปวัฒนธรรมไทยอย่างสอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของสังคมสมัยใหม่ จนเป็นที่ประจักษ์ยอมรับในระดับสากลถึงความสามารถของคนไทย และชื่นชมในความดีงามของ “ความเป็นไทย” ที่มีโรงแรมดุสิตธานีเป็นตัวอย่าง…..