“ไมเนอร์ฯ”บุกลงทุนตปท. มุ่งเข้าบริหาร”โรงแรม-เรซิเดนซ์”หรู

“ไมเนอร์ โฮเทลส์” เปิดแผนลงทุนและรับบริหาร “โรงแรม-เรซิเดนซ์” ระดับลักเซอรี่ในไทย-ต่างประเทศ ตอกย้ำความแข็งแกร่งของชื่อเสียง หลังพัฒนาแบรนด์ “อนันตรา” ติดอันดับ 6 ของโรงแรมที่ดีที่สุดในโลก เดินหน้ากลยุทธ์ขยายการเติบโตจากการซื้อกิจการเป็นหลัก

นายดิลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไมเนอร์ โฮเทลส์ และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภายในปี 2564 ตามแผนกลยุทธ์ระยะยาว 5 ปี บริษัทตั้งเป้ารุกเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจโรงแรมและที่พักในต่างประเทศ จากปัจจุบันอยู่ที่ 54% เพิ่มเป็น 68% โดยมุ่งกระจายความเสี่ยงไปยังจุดหมายต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตที่รวดเร็ว ด้วยแผนการเข้ารับบริหารโรงแรมเพิ่มมากกว่า 100 แห่งขึ้นไป หรือขยายเพิ่มเกือบเท่าตัวรุกหนักตลาดต่างประเทศ

ขณะที่สัดส่วนรายได้โรงแรมในไทยจะลดลงจาก 46% ในปัจจุบัน มาอยู่ที่ 32% อย่างไรก็ตาม การขยายธุรกิจในไทยไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด เพราะมีปัจจัยการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวของไทย ส่งผลให้ธุรกิจโรงแรมยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเหตุผลที่สัดส่วนรายได้ในไทยลดลงนั้น เป็นเพราะบริษัทวางเป้าหมายรุกตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น

ปัจจุบันเครือไมเนอร์ มีโรงแรม 154 แห่ง ใน 24 ประเทศ โดยภายในปี 2564 จะมีโรงแรมเพิ่มเป็น 250 แห่งใน 32 ประเทศ และยังมีเรซิเดนซ์ 300 ยูนิต โรงแรมประเภทไทม์แชร์อีกกว่า 450 ยูนิต โดยเบื้องต้นโครงการโรงแรมใหม่ที่บริษัทเป็นคนลงทุนเอง มี 6 แห่ง ใช้งบฯกว่า 3,400 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยเปิดให้บริการตั้งแต่ปีนี้ถึงปี 2563 ได้แก่ เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย อินเดีย แทนซาเนีย และที่เขาหลัก จังหวัดพังงา

เน้นสร้างแบรนด์ผ่าน “คุณภาพ”

เครือไมเนอร์ถือเป็นกลุ่มเชนโรงแรมไทยที่เติบโตด้วยการพัฒนาโรงแรมจนมีจำนวนมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของภูมิภาคเอเชีย และมุ่งสู่เป้าหมายสร้างชื่อเสียงในเชิงคุณภาพด้วยการมีแบรนด์โรงแรมชั้นนำระดับโลก มากกว่าการขยายในเชิงปริมาณเหมือนเชนโรงแรมใหญ่อื่น ๆ โดยจะขยายภายใต้ 5 แบรนด์หลักในเครือ ได้แก่ อนันตรา, อวานี, ทิโวลี่, โอ๊คส์ และเอเลวาน่า ด้วย

จุดเด่นเรื่องบริการและชื่อเสียงของไทยฮอสพิทาลิตี้ หลังจากที่แบรนด์อนันตรา ซึ่งใช้เวลาพัฒนามากว่า 16 ปี ได้รับการจัดอันดับให้เป็นโรงแรมที่ดีที่สุดอันดับ 6 ของโลก

สำหรับค่าใช้จ่ายในการลงทุนของบริษัทในแต่ละปีนับจากนี้ วางกรอบปี 2560 ไว้ที่ 1.2 หมื่นล้านบาท ปี 2561 ราว 8 พันล้านบาท ปี 2562 ราว 7 พันล้านบาท ใกล้เคียงกับปี 2563 ซึ่งวางไว้ที่ 7 พันล้านบาทเช่นกัน

“ซื้อกิจการ” สร้างการเติบโต

ทั้งนี้ ยังคงมองกลยุทธ์ขยายจำนวนโรงแรมด้วยการซื้อกิจการกลุ่มโรงแรมที่มีชื่อเสียงและแข็งแกร่งในตลาดหรือภูมิภาคที่ต้องการ ซึ่งจะทำให้เครือไมเนอร์เติบโตอย่างรวดเร็วกว่าการเริ่มต้นสร้างแบรนด์ใหม่เอง

นายดิลิปกล่าวด้วยว่า หลังได้เริ่มโมเดลนี้ ด้วยการซื้อกิจการโรงแรมทิโวลี่จากโปรตุเกส ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างดีในยุโรป ปัจจุบันเปิดให้บริการ 12 แห่ง ในโปรตุเกส และบราซิล ผลการดำเนินงานดี คาดว่าปี 2561 ราคาห้องพักเฉลี่ยจะปรับสูงได้อีก 10-15% เนื่องจากโปรตุเกสได้กระตุ้นภาคการท่องเที่ยวให้คึกคักเพื่อหารายได้เข้าประเทศ หลังได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจในยุโรปช่วงก่อนหน้านี้ โดยเป็นจุดหมายที่นักท่องเที่ยวยุโรปเดินทางไปเที่ยวมากขึ้น

“คาดว่าในปี 2564 จะมีกำไรสุทธิเติบโต 20% ตามแผนลงทุนและเข้ารับบริหารโรงแรมมากขึ้น จากปัจจุบันรายได้รับบริหารโรงแรมของเรามีสัดส่วนเพียง 4% เท่านั้น หากขยายการรับบริหารได้ถึง 100 แห่งอย่างที่ตั้งใจไว้ คาดส่วนแบ่งตรงนี้จะเติบโตกว่า 3 เท่า”

ด้านรายได้จากโรงแรมที่เครือไมเนอร์ลงทุนเอง จะยังรักษาสัดส่วนไว้ที่ 50% เท่ากับปัจจุบัน ขณะที่รายได้จากโรงแรมโอ๊คส์ คาดว่าจะมีส่วนแบ่ง 20% เท่าเดิม โดยอาจนำแบรนด์นี้ไปขยายกิจการในรูปแบบแฟรนไชส์ภายในปี 2561 ส่วนรายได้จากอสังหาริมทรัพย์ จะปรับสัดส่วนลดลงจาก 25% เป็น 20%

รุกเปิดเรซิเดนซ์ในไทย

นายดิลิปกล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการที่พักระยะยาว กลุ่มเรซิเดนซ์ด้วยว่า บริษัทมีแผนรุกตลาดเรซิเดนซ์อย่างต่อเนื่อง เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่อีก 3 แห่งในไทย กระจายปักธงในกรุงเทพฯ เชียงใหม่ และภูเก็ต หลังได้ร่วมทุนสร้างโครงการไฮไลต์เจาะกลุ่มกำลังซื้อสูงระดับท็อปเอนด์ ภายใต้ชื่อ “อวาดีน่า ฮิลส์ บาย อนันตรา” ด้วยการสร้างวิลล่าจำนวน 16 ยูนิต มูลค่าขายรวมกว่า 6 พันล้านบาท และเตรียมเปิดให้บริการในปี 2561

ทั้งนี้ เนื่องจากแนวโน้มความต้องการที่พักหรูหราได้มาตรฐานระดับโรงแรมมีมากขึ้น โดยบริษัทจะเน้นสร้างใกล้กับที่ตั้งโรงแรมในเครือไมเนอร์ เพื่อบริหารต้นทุนและใช้สิ่งอำนวยความสะดวกร่วมกัน

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไมเนอร์ โฮเทลส์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ภาพรวมธุรกิจโรงแรมในประเทศไทยนั้นยังสดใส เพราะยังมีนักลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจีนที่ให้ความสนใจจำนวนมาก

ขณะที่ผลการดำเนินงานของเครือไมเนอร์ช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 คาดว่าอัตราเข้าพักเฉลี่ยจะเติบโตประมาณ 12-15% และคาดว่าในไตรมาส 4 ปีนี้จะเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว หนุนให้อัตราเข้าพักเฉลี่ยตลอดปีเติบโตไม่ต่ำกว่า 10%


ส่วนการลงทุนโรงแรมและเรซิเดนซ์ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) เครือไมเนอร์ยังไม่สนใจลงทุนในขณะนี้ เพราะต้องการโฟกัสตลาดในเมืองท่องเที่ยวหลักของประเทศไทยมากกว่า