นายศึกษิต สุวรรณดิษฐกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีวาน่า กรุ๊ป จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจโรงแรมและสปา จังหวัดภูเก็ตและกระบี่ เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทได้ปรับยุทธศาสตร์ในการลงทุนและการดำเนินงานใหม่ด้วยการขยับเข้าสู่ตลาดในระดับ 5 ดาวเป็นครั้งแรก หลังจากที่อยู่ในตลาดระดับ 3-4 ดาวเป็นหลัก ทั้งนี้ เพื่อให้สอดรับกับแนวโน้มตลาดที่เปลี่ยนไปสู่ตลาดคุณภาพมากขึ้น รวมทั้งสอดรับกับนโยบายส่งเสริมการตลาดท่องเที่ยวของภาครัฐด้วย
เปิดเกมใหม่บุกตลาด 5 ดาว
โดยปีนี้บริษัทได้เริ่มต้นทำการศึกษาโครงการโรงแรมระดับ 5 ดาวแห่งใหม่ บนที่ดินประมาณ 6 ไร่ (ติดกับโครงการดีวาน่า ป่าตอง รีสอร์ท แอนด์ สปา) มูลค่าโครงการประมาณ 1,200 ล้านบาทซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างทำการศึกษารายละเอียดโครงการ และยื่นขอใบอนุญาตก่อสร้างและอีไอเอ จากนั้นจะเริ่มก่อสร้างได้ในช่วงประมาณปี 2022 และเปิดให้บริการได้ประมาณปี 2024
“โครงการนี้ต้องใช้เวลามาก เพราะต้องศึกษาให้ละเอียดรอบคอบ เพราะเป็นโครงการระดับ 5 ดาวแห่งแรก และใช้เงินลงทุนสูง ที่สำคัญโครงการนี้เราจะใช้แบรนด์อินเตอร์และใช้เชนเข้ามา
บริหาร เพราะเราอยากดึงนักท่องเที่ยวกลุ่มพรีเมี่ยมและกลุ่มไมซ์คุณภาพ”
นายศึกษิตกล่าวและว่า อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นโครงการใหม่นี้น่าจะมีห้องพักรวมที่ประมาณ 120-150 ห้อง และมีห้องประชุมสัมมนารองรับผู้ร่วมงานได้ประมาณ 300-500 คน
โรงแรม 3-4 ดาวแข็งขันสูง
นายศึกษิตกล่าวต่อไปว่า ในอดีตที่ผ่านมาพบว่าตลาดโรงแรมระดับ 3-4 ดาวเติบโตอย่างรวดเร็ว และไม่เพียงแต่กลุ่มผู้ประกอบการในพื้นที่เท่านั้น เชนอินเตอร์เองก็ขยับลงมาแข่งขันในตลาดนี้ด้วย ทำให้การแข่งขันในตลาดระดับ 3-4 ดาวสูงมาก สุดท้ายทุกค่ายใช้กลยุทธ์ด้านราคามาแข่ง ขณะที่ตลาดในระดับ 5 ดาวเป็นตลาดที่ยังมีจำนวนโรงแรมไม่มากนัก ทั้งนี้ เป็นเพราะตลาดที่ใช้เงินลงทุนสูง ทำให้มีคู่แข่งในตลาดน้อยรายตามกลไลการลงทุน
“ตอนนี้สิ่งที่เราวางแผนในระยะยาว คือ เน้นโรงแรมที่มีคุณภาพ ไม่เน้นวอลุ่มเพราะตลาดในเซ็กเมนต์คุณภาพนั้นไม่ว่าตลาดจะเปลี่ยนไปอย่างไรก็อยู่ได้ เศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดีก็อยู่ได้ เพราะกลุ่มเป้าหมายยังมีกำลังใช้จ่าย แต่ถ้าเป็นตลาดแมสเวลาเจอวิกฤตเราจะเหนื่อยมาก ที่สำคัญคู่แข่งของโรงแรมลักเซอรี่ก็ต่ำกว่าโรงแรมที่เป็นแมส ซึ่งทิศทางใหม่ของเรานั้นจะไม่อยู่ในตลาดที่เป็นเรดโอเชี่ยนมากนัก” นายศึกษิตกล่าว
ไล่อัพภาพลักษณ์โรงแรมเก่า
นายศึกษิตกล่าวต่อไปอีกว่า นอกจากนี้ บริษัทยังได้ลงทุนรีโนเวตโรงแรมเก่าให้มีคุณภาพและมีความทันสมัย และสอดรับกับความต้องการตลาดที่เปลี่ยนไปอีกส่วนหนึ่งด้วย โดยปีที่ผ่านมาบริษัทได้ลงทุนไปรวมประมาณ 450 ล้านบาท สำหรับปรับโฉมใหม่โรงแรมในเครือไปจำนวน 2 แห่ง คือ โรงแรมดีวาน่า พลาซ่า กระบี่ อ่าวนาง และโรงแรมดีวาน่า ป่าตอง รีสอร์ท
สำหรับปีนี้บริษัทมีแผนลงทุนเพิ่มอีกราว 100 ล้านบาทสำหรับปรับปรุงและยกระดับภาพลักษณ์โรงแรมดีวาน่า พลาซ่า ภูเก็ต ป่าตอง โดยจะพัฒนาปรับปรุงในส่วนพับลิกแอเรียให้ดูทันสมัยขึ้นประกอบด้วย ห้องอาหาร ฟิตเนส คิดส์คลับ ห้องประชุมสัมมนาทั้งหมด 5 ห้องและส่วนของแลนด์สเคป และท็อปฟลอร์หลังจากที่ได้ปรับปรุงในส่วนห้องพักไปแล้ว
เมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ คาดว่าน่าจะเริ่มรีโนเวตได้ประมาณเดือนพฤษภาคมนี้ และแล้วเสร็จประมาณกันยายน-ตุลาคม 2562 นี้
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนลงทุนเพิ่มเติมในเฟส 2 ของโรงแรมรีเซนต้า ภูเก็ต สวนหลวง โรงแรมที่อยู่ในตัวเมืองภูเก็ตอีกประมาณ 200 ล้านบาท โดยในเฟสนี้มีแผนจะยกระดับภาพลักษณ์ของโรงแรมแห่งนี้ให้ดูทันสมัยและพรีเมี่ยมมากขึ้นด้วยเช่นกัน
“ส่วนที่จะลงทุนเพิ่มประกอบด้วยห้องพักอีกประมาณ 80 ห้อง ห้องประชุมสัมมนาขนาดประมาณ 200 คน รวมทั้งสระว่ายน้ำสกายวิว ท็อปฟลอร์และล็อบบี้ใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในปี 2020 จากนั้นจะลงทุนปรับปรุงอาคารเดิมที่เปิดให้บริการในเฟสแรกจำนวน 66 ห้องด้วยเพื่อให้เป็นภาพลักษณ์เหมือนกับโครงการในเฟส 2” นายศึกษิตกล่าว
และว่า ที่ผ่านมาบริษัทมีนโยบายลงทุนเพิ่มสำหรับพัฒนาและปรับปรุงโรงแรมในทุก ๆ 6-7 ปีอยู่แล้ว เพื่อให้ภาพลักษณ์ของโรงแรมดูทันสมัย สามารถแข่งขันในตลาดได้ และสอดรับกับความต้องการของกลุ่มนักท่องเที่ยว
ปี 2018 รร.ภูเก็ตติดลบ 4%
กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีวาน่า กรุ๊ปกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า ภาพรวมของอัตราการเข้าพักของโรงแรมในภูเก็ตปีที่ผ่านมาเฉลี่ยอยู่ที่ราว 77-78% ใกล้เคียงกับกรุงเทพฯ ขยายตัวลดลงที่ราว 4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากเกิดวิกฤตเรือนักท่องเที่ยวล่ม ซึ่งทำให้ตัวเลขอัตราการเข้าพักในช่วงครึ่งปีหลังลดลงไปประมาณ 15% ขณะที่ในครึ่งปีแรกธุรกิจมีอัตราการขยายตัวอยู่ที่กว่า 10% ขณะเดียวกัน ยังพบว่าอัตราการเข้าพักของโรงแรมในระดับ 5 ดาวจะสูงกว่าโรงแรมในระดับ 3-4 ดาวประมาณ 4-5% ด้วย
สำหรับภาพรวมของกลุ่มดีวาน่าในปีที่ผ่านมานั้น พบว่าโรงแรมในภูเก็ตมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยที่ 78-88% ลดลงประมาณ 3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งถือว่าไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ทั้งนี้ เนื่องจากว่าบริษัทใช้กลยุทธ์บาลานซ์ตลาดเพื่อกันความเสี่ยงไว้ตั้งแต่เริ่มต้นแล้วนั่นเอง