“เซ็นทารา” เปิดแผน 5 ปี โหมลงทุนโรงแรมใหม่เพิ่มอีกเท่าตัว

แม้ว่าในปี 2561 ที่ผ่านมา ภาพรวมของธุรกิจท่องเที่ยวของไทยจะสะดุดไปบ้างในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะสถานการณ์การชะลอตัวของกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน แต่กลุ่ม”เซ็นทารา” ยังคงเดินหน้าลงทุนอย่างหนัก โดยมีเป้าหมายเพิ่มจำนวนโรงแรมเป็น 2 เท่าตัวในอีก 5 ปีข้างหน้า
“ประชาชาติธุรกิจ” ได้ร่วมสัมภาษณ์ “ธีระยุทธ จิราธิวัฒน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงแรมและรีสอร์ตในเครือเซ็นทารา ถึงทิศทางการลงทุนและเป้าหมายการดำเนินงานของกลุ่มเซ็นทารา ไว้ดังนี้
ตั้งเป้า 130 โรงแรมใน 5 ปี

“ธีระยุทธ” บอกว่า ในช่วงปลายปี 2561 ที่ผ่านมา บริษัทได้ทำการปรับเปลี่ยนแผนการดำเนินงานใหม่ เพื่อมุ่งขยายจำนวนโรงแรมและรีสอร์ตในเครือเพิ่มขึ้น โดยตั้งเป้าจะมีโรงแรมและรีสอร์ตในเครือ 130 โรงแรม ภายในระยะเวลา 5 ปี (ปี 2561-2565) จากปัจจุบันที่มีโรงแรมในเครือที่เปิดให้บริการแล้ว 39 แห่ง และโรงแรมที่ทำสัญญาแล้ว แต่อยู่ระหว่างการดำเนินการรอเปิด 37 แห่ง ทำให้ขณะนี้เซ็นทารามีโรงแรมและรีสอร์ตในเครือทั้งหมด 68 แห่ง

โดยตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป “เซ็นทารา”มีแผนที่จะเพิ่มโรงแรมในเครือปีละ 15-20 โรงแรม เพื่อให้สามารถมีจำนวนโรงแรมในเครือได้ตามที่ตั้งเป้าไว้ แม้ในปี 2561 ที่ผ่านมาจะทำไปได้เพียง 10 โรงแรมก็ตาม

สำหรับภูมิภาคที่เซ็นทารามองเห็นว่ามีโอกาสและศักยภาพที่จะเปิดให้บริการเพิ่มเติมตอนนี้มีหลัก ๆ 3 ภูมิภาคได้แก่ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภูมิภาคตะวันออกกลาง และประเทศที่เป็นเกตเวย์ต่าง ๆ อาทิ ญี่ปุ่น เป็นต้น

เทหมื่นล้านบุกทั้งใน ปท-ตปท.

สำหรับในปี 2562 นี้ ล่าสุดได้เปิดดำเนินการ “เซ็นทารา เวสต์เบย์ เรสซิเดนซ์ แอนด์ สวีท โดฮา” ที่ประเทศกาตาร์ ไปแล้ว และมีแผนที่จะเปิดให้บริการโรงแรมทั้งในและต่างประเทศโดยแบ่งเป็นดูไบ 1 แห่ง มูลค่าลงทุนประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาทและที่มัลดีฟส์อีก 2 แห่ง

ส่วนตลาดในประเทศนั้น “ธีระยุทธ” บอกว่า บริษัทมีแผนเปิดโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์หรือแบรนด์ลักเซอรี่ในกระบี่ 1 แห่ง มูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท โรงแรม Cosi ในเชียงใหม่ พร้อมอยู่ระหว่างการศึกษาพื้นที่ชะอำ (เพชรบุรี) และระยอง จังหวัดละ 1 แห่ง รวมถึงมีแผนที่จะปรับปรุงพื้นที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ โดยใช้งบประมาณ 600-700 ล้านบาท ปรับปรุงเซ็นทาราแกรนด์บีชรีสอร์ทและวิลล่า หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์

งบประมาณ 2,000 ล้านบาท รวมทั้งสิ้นคาดว่าในปี 2562 จะใช้งบประมาณในการลงทุนกว่า 10,000 ล้านบาท

นอกจากปี 2562 แล้ว ในอนาคต “เซ็นทารา” ยังมองถึงการเปิดโรงแรมในเครือที่กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ เพิ่มอีก 2 แห่ง พร้อมทั้งยังได้รับใบอนุญาต

ในการก่อสร้างโรงแรมที่มัลดีฟส์ทั้งหมด 5 แห่ง หลังจากเริ่มลงทุน 2 แห่งในปีนี้แล้ว ยังเหลืออีก 3 แห่งที่เซ็นทาราจะทยอยลงทุนต่อเนื่องในปีต่อ ๆ ไปด้วย

เปิด “รร.-เวลเนส” แบรนด์ใหม่

นอกจากนั้น เซ็นทารายังมีแผนที่จะเพิ่มโรงแรมในเซ็กเมนต์ที่อยู่ในระดับเหนือกว่าอัพสเกล หรือเหนือกว่า “เซ็นทารา แกรนด์” ซึ่งเป็นเซ็กเมนต์ลักเซอรี่ แต่ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการ

พิจารณาชื่อแบรนด์ที่จะใช้ และคาดว่าโรงแรมในแบรนด์นี้จะเริ่มต้นจากการรีโนเวตและรีแบรนดิ้งให้กับเซ็นทาราแกรนด์บีชรีสอร์ท สมุย และเซ็นทาราแกรนด์บีชรีสอร์ทและวิลล่า หัวหิน

ขณะเดียวกัน เซ็นทารายังมีเป้าหมายที่จะเพิ่มเซ็กเมนต์ด้าน wellness ภายใต้แบรนด์ใหม่เพิ่มเติม ซึ่งยังอยู่ระหว่างการพิจารณารายละเอียดเช่นกัน

“ธีระยุทธ” ยังบอกอีกว่า ในช่วงระยะ 5 ปีต่อจากนี้ เซ็นทาราจะเร่งปรับปรุงระบบหลังบ้านทั้งหมดที่ทำหน้าที่สนับสนุนการดำเนินงาน อาทิ ปรับปรุงเว็บไซต์ใหม่ ปรับปรุงระบบการจองห้องพักรวมทั้งนำระบบ revenue managementแบบเรียลไทม์มาใช้ในการคำนวณเพื่อสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติม จากในอดีตที่โรงแรมใช้คนในการคำนวณมาโดยตลอด ทำให้ปรับอัตราค่าเข้าพักได้ช้า โดยใช้งบประมาณการปรับปรุงทั้งหมดราว 200 ล้านบาท และคาดว่าจะเริ่มได้เห็นผลภายในไตรมาส 1 ของปี 2563

2 เดือนแรกปี”62 ยังแผ่ว

“ธีระยุทธ” ยังอัพเดตภาพรวมสำหรับปี 2561 ที่ผ่านมาด้วยว่า เป็นปีที่น่าเสียดาย เพราะเป็นปีที่เริ่มต้นมาอย่างดี แต่มาสะดุดจากสถานการณ์หลายอย่างทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวยุโรปที่น้อยลงจากฤดูร้อนที่ยาวนาน และสถานการณ์นักท่องเที่ยวจีนตกลงจากเหตุการณ์เรือล่มที่ภูเก็ต ส่งผลให้ธุรกิจโรงแรมปี 2562 นี้น่าจะเป็นปีที่เหนื่อยต่อเนื่อง

และหากประเมินจากสถานการณ์ในช่วง 2 เดือนแรกของปีที่ผ่านมา ยังพบว่าภาพรวมยังอยู่ในระยะทรง ๆ ด้วยปัจจัยภายนอกหลายอย่างที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่เงินบาทที่แข็งค่าขึ้น จำนวนซัพพลายในตลาดที่มากขึ้น และปัจจัยทางด้านการเมืองที่อาจจะผันผวนหลังการเลือกตั้ง

“แม้อัตราการเข้าพักเฉลี่ย หรือ occupency rate ของโรงแรมในเครือเซ็นทาราจะยังคงเดิม คือ ประมาณ 83% เช่นเดียวกับปี 2561 ที่ผ่านมา แต่อัตราค่าห้องพัก หรือ room rate จะไม่สามารถขยับโตขึ้นได้ และอาจจะมีการดัมพ์ราคาลงตามมา”

เร่งหาตลาดใหม่เสริมพอร์ต

อย่างไรก็ตาม “เซ็นทารา” ได้เตรียมการรับมือโดยการหาตลาดใหม่ ๆ ที่ยังมีโอกาสและศักยภาพ พร้อมพยายามกระจายตลาดออกไปมากขึ้นซึ่งปัจจุบันเซ็นทารามีกลุ่มลูกค้าไทยมากที่สุด รองลงมาเป็น จีน สหราชอาณาจักร และออสเตรเลียต่อคำถามเกี่ยวกับงานเร่งด่วนสำหรับรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง “ธีระยุทธ”บอกว่า ที่ผ่านมาการท่องเที่ยวไทยยังคงกระจุกตัวอยู่ในจุดหมายปลายทาง

หลักไม่กี่แห่งที่ได้รับความนิยมมาก จึงมองว่าที่ผ่านมารัฐบาลทำถูกที่พยายามจะกระจายการท่องเที่ยวออกไปในหลายพื้นที่ครอบคลุมมากขึ้น

แต่ถึงอย่างนั้นการทำตลาดจะสำเร็จไม่ได้ถ้าหากขาดการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกและโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการท่องเที่ยว

นอกจากนั้น ภาคท่องเที่ยวยังคงพูดเกี่ยวกับการทำตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพ ลดการสะสมปริมาณมาโดยตลอด แต่ยังไม่สามารถทำให้เห็นได้จริง