“วีรันดา” เร่งแผนลงทุนโรงแรม ตั้งเป้า 5 ปี ปูพรมเมืองท่องเที่ยวทั่วประเทศ

“วีรันดา รีสอร์ท” กางแผนลงทุน 3-5 ปีมุ่งปูพรมโรงแรมครอบคลุมเมืองท่องเที่ยวหลักทุกรูปแบบ ทั้งรูปแบบลงทุนเอง-เทกโอเวอร์ ชูความสำเร็จโมเดลลงทุน “โรงแรม+เรสซิเดนซ์” ชี้เป็นกลยุทธ์เพิ่มมูลค่าโครงการแถมทำให้คืนทุนเร็ว เผยพร้อมขยายฐานธุรกิจสู่ธุรกิจอาหาร-เครื่องดื่มอีกแขนง ต่อยอดธุรกิจใหม่จากฐานลูกค้าเดิม ล่าสุดเตรียมเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯหวังเพิ่มศักยภาพด้านการเงิน-เดินหน้าได้เร็วขึ้น

นายวีรวัฒน์ องค์วาสิฏฐ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วีรันดา รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) ผู้บุกเบิกธุรกิจในเซ็กเมนต์designed hotel แบรนด์ “วีรันดา” เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ถึงทิศทางการลงทุนว่า บริษัทมุ่งโฟกัสการลงทุนในธุรกิจโรงแรม รีสอร์ต ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก รวมถึงพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทอาคารชุดพักอาศัย หรือเรสซิเดนซ์ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกันกับโรงแรมของบริษัท ซึ่งเป็นรูปแบบการผสมผสานและนำเสนอสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบถ้วนเสมือนผู้พักอาศัยได้ใช้บริการโรงแรมด้วยเช่นกัน

บุกเมืองท่องเที่ยวทั่ว ปท.

โดยในระยะ 3-5 ปีข้างหน้านี้ บริษัทจะยังคงต่อยอดธุรกิจการให้บริการห้องพักให้หลากหลายมากขึ้น ทั้งในแง่การขยายธุรกิจเดิม และขายฐานไปยังธุรกิจใหม่ในภาคธุรกิจท่องเที่ยว และอสังหาริมทรัพย์ โดยมีแผนรุกขยายการลงทุนในธุรกิจโรงแรม รีสอร์ต และเรสซิเดนซ์ ไปในพื้นที่เมืองท่องเที่ยวหลัก ๆ เพื่อให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น อาทิ ภูเก็ต, กระบี่ เป็นต้น

จากปัจจุบันที่เปิดให้บริการไปแล้ว จำนวน 5 โครงการ ประกอบด้วย โรงแรมวีรันดา รีสอร์ท หัวหิน, วีรันดาไฮ รีสอร์ท เชียงใหม่, โซ โซฟิเทล แบงค็อก, วีรันดา รีสอร์ท พัทยา และร็อคกี้ บูติค รีสอร์ท (สมุย สุราษฎร์ธานี) และโรงแรมที่อยู่ระหว่างการพัฒนาอีก 1 แห่ง คือ โรงแรมเวอโซ หัวหิน ซึ่งคาดว่าจะสร้างเสร็จและเปิดให้บริการได้ในช่วงต้นปี 2563

นอกจากนี้ยังมีโครงการเรสซิเดนซ์ที่อยู่ระหว่างการขายจำนวน 3 แห่ง แบ่งเป็นส่วนที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ และอยู่ระหว่างการขาย 2 แห่ง ได้แก่ โครงการวีรันดา ไฮ เรสซิเดนซ์ เชียงใหม่ มูลค่า 229.63 ล้านบาท และวีรันดา เรสซิเดนซ์ พัทยา มูลค่า 1,967.77 ล้านบาท และโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและอยู่ระหว่างการขายอีก 1 โครงการ คือ วีรันดา เรสซิเดนซ์ หัวหิน มูลค่า 2,561.65 ล้านบาท

ชูโมเดล “โรงแรม+เรสซิเดนซ์”

“การลงทุนของเราจะเน้นที่ดินขนาดใหญ่ และใช้โมเดลผสมผสานระหว่างธุรกิจโรงแรมและเรสซิเดนซ์อยู่ในพื้นที่เดียวกัน ด้วยการนำเอาบรรยากาศและการออกแบบของโรงแรมที่สวยงาม พร้อมนำเอาสิ่งอำนวยความสะดวกของโรงแรมมาให้บริการผู้พักอาศัยในเรสซิเดนซ์ด้วย เพื่อให้ผู้ใช้บริการเรสซิเดนซ์จะได้รับบริการในมาตรฐานเดียวกับโรงแรม ซึ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการในภาพรวม ขณะเดียวกันยังทำให้แต่ละโครงการมีศักยภาพในการคืนทุนได้เร็วขึ้นอีกด้วย” นายวีรวัฒน์กล่าว

และว่า ขณะเดียวกัน บริษัทยังคงรักษาความโดดเด่นในด้านการเป็นผู้นำเรื่องdesigned brand ที่ถนัดเรื่องการออกแบบ การพัฒนา และการบริหารโรงแรม รีสอร์ต และที่พักอาศัย ให้ตอบโจทย์ของผู้พักอาศัย ด้วยการนำไลฟ์สไตล์และศิลปะของพื้นที่ผสมให้เข้ากับความทันสมัยที่เหมาะสมและเอกลักษณ์ที่แตกต่างในแต่ละโครงการอย่างชัดเจน

ขยับสู่ธุรกิจอาหาร-เครื่องดื่ม

นายวีรวัฒน์กล่าวด้วยว่า นอกจากธุรกิจหลักอย่างโรงแรม รีสอร์ต และเรสซิเดนซ์แล้ว บริษัทได้ขยายฐานธุรกิจเข้าไปสู่ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มอีกกลุ่มหนึ่งด้วย ซึ่งถือเป็นการต่อยอดธุรกิจใหม่จากฐานลูกค้าเดิม ประกอบด้วย ร้านอาหาร ขนมหวาน และเครื่องดื่มภายใต้ชื่อ Skoop Beach Cafe” ปัจจุบันเปิดให้บริการไปแล้ว 2 แห่ง ได้แก่ วีรันดา รีสอร์ท พัทยา และวีรันดา รีสอร์ท หัวหิน และร้านเครื่องดื่มและขนมหวาน ภายใต้แบรนด์ “KOF” ปัจจุบันเปิดให้บริการไปแล้ว 2 แห่ง ได้แก่ สาทร (โรงแรมโซ โซฟิเทล แบงค็อก) และทองหล่อ (สแตนด์อะโลน)

“เรามีแผนขยายธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม โดยจะพิจารณารูปแบบการให้บริการในทำเลที่เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ภายใต้งบประมาณและช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยในปี 2562 นี้ เรามีแผนเปิดร้านอาหารและร้านเครื่องดื่มเพิ่มอีก 2 แห่ง แบ่งเป็น ร้านอาหาร Skoop Beach Cafe” ที่อยู่ในบริเวณแหล่งชุมชนที่มีคนสัญจรไปมามากในเขตกรุงเทพฯ 1 แห่ง คาดว่าใช้งบประมาณราว 6 ล้านบาท และร้านเครื่องดื่ม KOF จำนวน 1 แห่ง คาดว่าจะใช้งบประมาณ 4 ล้านบาท” นายวีรวัฒน์กล่าว

จ่อระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมนี้ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการขยายการลงทุนให้ได้เร็วยิ่งขึ้น หรือประมาณ 2-3 ปีต่อ 1 โครงการใหม่ จากในอดีตที่ผ่านมา บริษัทมีศักยภาพในการขายการลงทุนในธุรกิจโรงแรมและเรสซิเดนซ์เฉลี่ยอยู่ที่ราว 4-5 ปีต่อ 1 โครงการใหม่ รวมถึงเพิ่มศักยภาพในการขยายการลงทุนในธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มด้วย หรือประมาณ 4 สาขาต่อปี จากเดิมที่อยู่ที่ประมาณ 2 สาขาต่อปี

นายวีรวัฒน์กล่าวเพิ่มเติมถึงโครงสร้างรายได้ด้วยว่า ปี 2559 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวม 1,210.90 ล้านบาท เป็นรายได้จากกิจการโรงแรม 1,183.45 ล้านบาท หรือคิดเป็น 97.45% ปี 2560 มีรายได้รวม 1,731.25 ล้านบาท เป็นรายได้จากกิจการโรงแรม 1,300.78 ล้านบาท หรือคิดเป็น 75.14% และมีรายได้จากธุรกิจอื่น ๆ เข้ามาเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน คือ รายได้จากกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 386.28 ล้านบาทหรือ 22.31% รายได้จากร้านอาหารและเครื่องดื่ม 0.44 ล้านบาท หรือ 20.53% ฯลฯ และปี 2561 มีรายได้รวม 2,431.30 ล้านบาท เป็นรายได้จากกิจการโรงแรม 1,313.61 ล้านบาท หรือคิดเป็น 54.03% โดยมีรายได้จากกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 1,053.20 ล้านบาท หรือ 43.32% รายได้จากกิจการร้านอาหารและเครื่องดื่ม 20.53 ล้านบาท หรือ 0.84% เป็นต้น