จับตา “ศึกช้างชนช้าง” ชิงดิวตี้ฟรีสุวรรณภูมิ…ครั้งนี้ไม่ง่าย!

เผยโฉมหน้ากันออกมาแล้วสำหรับผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมประมูล “ดิวตี้ฟรี” และพื้นที่เชิงพาณิชย์ สนามบินสุวรรณภูมิ ที่มีกำหนดยื่นซองประมูลอย่างเป็นทางการในวันที่ 22 พฤษภาคมนี้

โดยผู้ประกอบการที่เข้ามาซื้อทีโออาร์ประมูลส่วนใหญ่ล้วนเป็นไปตามที่คาดการณ์กันไว้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นคิง เพาเวอร์ ซึ่งเป็นผู้ประกอบการรายเดิม กลุ่มเซ็นทรัล, กลุ่มการบินบางกอก(BA) หรือ สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส, กลุ่มไมเนอร์ฯ ฯลฯ

แหล่งข่าวในธุรกิจดิวตี้ฟรีรายหนึ่งกล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ผู้ประกอบการที่น่าจับตามากที่สุดในการประมูลรอบนี้คือ กลุ่มคิง เพาเวอร์ ของ “เจ้าสัวน้อย-อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” ทายาท “เจ้าสัววิชัย ศรีวัฒนประภา” มหาเศรษฐีอันดับที่ 5 ของเมืองไทย (จากการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บส ปี 2561) ด้วยมูลค่าสินทรัพย์ 1.62 แสนล้านบาท

และ “การบินกรุงเทพ” หรือ BA ผู้บริหารสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ของ “หมอเสริฐ-ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ” มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของเมืองไทย ซึ่งครองแชมป์เศรษฐีหุ้นไทยติดต่อกันเป็นปีที่ 6 (จากการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บส ปี 2561) โดยถือครองหุ้นมูลค่ารวม 7.7 หมื่นล้านบาท

นั่นหมายความว่า หากวัดจากขุมพลังด้านเงินทุนและพันธมิตรแล้ว ถือว่า “บางกอกแอร์เวย์ส” ซึ่งมีล็อตเต้ ดิวตี้ฟรี มาเป็นพันธมิตร เป็นคู่ชกที่สมน้ำสมเนื้อมากที่สุดในห้วงเวลานี้ หรือจะเรียกว่า “ศึกช้างชนช้าง” ก็คงไม่ผิดนัก

ว่ากันว่า กลุ่มคิง เพาเวอร์ มีรายได้จากการดำเนินธุรกิจดิวตี้ฟรีในปี 2560 ที่ผ่านมามีราว 1.13 แสนล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิที่ราว 8 พันล้านบาท (เฉพาะยอดรายได้จากร้านดิวตี้ฟรีในสนามบินอยู่ที่ราว 3.56 หมื่นล้านบาท กำไรประมาณ 1.8 พันล้านบาท)

ขณะที่ Statista บริษัทรวบรวมสถิติเชิงธุรกิจระดับโลก สัญชาติเยอรมัน ระบุว่า “คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี” ของไทย มียอดขายดิวตี้ฟรี อันดับ 7 ของโลก มีมูลค่าในปี 2560 ที่ 8.1 หมื่นล้านบาท

ส่วนกลุ่มธุรกิจของ “หมอเสริฐ” นั้นเฉพาะแค่ธุรกิจโรงพยาบาลภายใต้ BDMS มีรายได้รวมในปี 2560 ที่ 7.7 หมื่นล้านบาทคิดเป็นกำไร 1.02 หมื่นล้านบาท และเพิ่มเป็น 8.1 หมื่นล้านบาทในปี 2561 คิดเป็นกำไร 9.19 พันล้านบาท

ขณะเดียวกัน บางกอกแอร์เวย์ส (BA) มีรายได้รวมในปี 2560 ถึง 2.93 หมื่นล้านบาท คิดเป็นกำไร 787.9 บาท และมีรายได้รวมในปี 2561 ที่ 2.87 หมื่นล้านบาท คิดเป็นกำไร 249.26 ล้านบาท

เรียกว่าหากรวมอาณาจักร BDMS และ BA เข้าด้วยกัน มูลค่าสินทรัพย์ของกลุ่ม “หมอเสริฐ” ณ สิ้นปี 2561 มีมูลค่ารวม 2 แสนล้านบาท มีรายได้รวมกว่า 1.09 แสนล้านบาท และมีกำไรรวมกว่า 9.4 พันล้านบาท

นี่ยังไม่รวม “ขุมพลัง” ของพันธมิตรที่รอการเปิดตัวอย่างเป็นทางการอย่าง “ล็อตเต้ ดิวตี้ฟรี” เกาหลีใต้ ซึ่งเป็นผู้ประกอบการดิวตี้ฟรี อันดับ 2 ของโลก ที่มียอดขายรวมในปี 2560 ที่ผ่านมา ถึง 1.8 แสนล้านบาท (ที่มา : Statista)

แหล่งข่าวในธุรกิจท่องเที่ยวรายหนึ่งระบุว่า การดึงล็อตเต้ฯเข้ามาเป็นพันธมิตรของกลุ่มบางกอกแอร์เวย์สครั้งนี้

นับเป็นปรากฏการณ์ที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง และสะท้อนให้เห็นว่างานนี้ “หมอเสริฐ” เอาจริง ยอมเจ็บจริง ไม่ได้มาเล่น ๆ แน่นอน เพราะใคร ๆ ก็รู้ว่าเวลานี้ธุรกิจสายการบินซึ่งเป็นธุรกิจหลักนั้นนับวันยิ่งแข่งขันสูง กำไรลดน้อยลง ขณะที่ต้นทุนการบริหารจัดการก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ที่สำคัญ การขยับเข้าสู่ธุรกิจ “ดิวตี้ฟรี”นั้นเป็นอีกเป้าหมายหนึ่งในการสร้างการเติบโตในอนาคตของกลุ่มบางกอก แอร์เวย์ส จากปัจจุบันที่ดำเนินธุรกิจดิวตี้ฟรีที่สนามบินสมุย สุราษฎร์ธานี สนามบินหลวงพระบาง โดยใช้บริษัท บางกอกแอร์เวย์โฮลดิ้ง จำกัด เข้าซื้อกิจการ บริษัท มอร์แกนฟรี จำกัด

กระทั่งล่าสุดที่มีข่าวการจับมือกับ “ล็อตเต้ ดิวตี้ฟรี” เพื่อเข้าร่วมประมูลดิวตี้ฟรี สนามบินสุวรรณภูมิ และอีก 3 สนามบินในภูมิภาคของ ทอท. คือ เชียงใหม่, ภูเก็ต และหาดใหญ่ สอดรับกับคำให้สัมภาษณ์ของ “พุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ” กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ “การบินกรุงเทพ” ผู้บริหารสายการบินบางกอกแอร์เวย์สที่บอกว่า บริษัทมีความพร้อมในการเข้าร่วมประมูลทุกเงื่อนไข และไม่เพียงเท่านี้ ยังคิดการใหญ่ ด้วยการเข้าร่วมประมูลเมืองการบินที่อู่ตะเภาอีกด้วย ทั้งนี้ เพื่อขยายพอร์ตธุรกิจให้ครอบคลุมในภาคธุรกิจการท่องเที่ยวนั่นเอง

ขณะที่แหล่งข่าวระดับสูงของ “ล็อตเต้ ดิวตี้ฟรี” ที่ให้สัมภาษณ์ “ประชาชาติธุรกิจ” ไว้ก่อนหน้านี้ว่า ด้วยประสบการณ์ในธุรกิจมากว่า 30 ปีนั้น ยังคงมั่นใจในศักยภาพการเติบโตทางธุรกิจของไทย และยังมองว่าเมืองไทยคือ “อนาคต”

การได้ “ล็อตเต้ ดิวตี้ฟรี” เข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรในครั้งนี้ ทำให้ “การบินบางกอก” หรือ BA มีประสิทธิภาพ และ “ขุมพลัง” ในการแข่งขันมากขึ้น และโดดเด่นขึ้นมาทันที

ที่สำคัญ ในแวดวงดิวตี้ฟรียังวิเคราะห์กันว่า deal นี้ถือเป็น “ก้าง” ชิ้นโตที่ทำให้เส้นทางการประมูลของ “คิง เพาเวอร์” ที่หลายฝ่ายคาดกันว่าน่าจะเป็นผู้ชนะในรอบนี้เกิดขึ้นได้ไม่ง่ายนัก

ส่วน “คิง เพาเวอร์” จะรับมืออย่างไร และผู้เข้าร่วมประมูลรายอื่น ๆ จะงัดกลยุทธ์และดึงใครมาร่วมเป็นพันธมิตรนั้นต้องจับตาดูกันต่อไป


แต่ที่แน่ ๆ เชื่อว่า ใครที่ประมูลดิวตี้ฟรีในรอบนี้ได้ “เหนื่อย” แน่นอน โดยเฉพาะ “ตัวเลข” การจ่ายผลตอบแทนให้กับ ทอท. อดใจรออีกนิด 31 พฤษภาคมนี้ รู้ผลแน่นอน !