TTM+2019 เปิดทางเมืองรองดึงตลาดใหม่

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้เนรมิตพื้นที่ท่องเที่ยวยอดนิยมให้กลายเป็นแหล่งเจรจาธุรกิจมูลค่ากว่า 2,500 ล้านบาท ในงาน Thailand Travel Mart Plus 2019 (TTM+2019) ณ โอเชี่ยนมารีน่ายอชต์คลับ เมืองพัทยา จ.ชลบุรี เมื่อ 5-7 มิถุนายนที่ผ่านมา

โดยในงานดังกล่าวนี้มีจำนวนผู้ซื้อจากทั่วโลก-ผู้ขายรวมกว่า 700 ราย ทั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อหวังกระตุ้นท่องเที่ยวไทยในช่วงเศรษฐกิจโลกขาลงให้คึกคักและเติบโตได้อีกครั้ง

“ยุทธศักดิ์ สุภสร” ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) บอกว่า ททท. จัดงาน Thailand Travel Mart Plus 2019 (TTM+2019) เพื่อให้ผู้ซื้อจากทั่วโลกและผู้ขายในไทยได้มาเจรจาและสร้างเครือข่ายธุรกิจร่วมกันได้สะดวกขึ้น และลดภาระของผู้ประกอบการรายย่อยที่จะต้องแบกรับต้นทุนในการเดินสายทำการตลาดในต่างประเทศ

ปีนี้งานดังกล่าวจัดขึ้นภายใต้ธีมชุมชนและธีมเมืองรองตาม tag line ที่ว่า “New Shade of Emerging Destinations” พร้อมตั้งเป้าภายใน 30 วันหลังจากงานจะสร้างมูลค่าทางธุรกิจมากกว่า 2,500 ล้านบาท

โดยจุดเด่นของงาน TTM+2019 คือ การให้ความสำคัญกับการเข้าร่วมงานของผู้ขายจากเมืองรอง โดยเปิดให้มี showcase สินค้าของเมืองรองให้กับผู้ที่เข้าร่วมงานได้รับชมอย่างใกล้ชิดซึ่งภายในงานมีผู้ขาย (seller) ทั่วไทย และประเทศอื่น ๆ ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง(Greater Mekong Subregion : GMS) จำนวน 371 โต๊ะ และผู้ขายจากเมืองรอง 20 โต๊ะ เพื่อสนับสนุนผู้ขายหน้าใหม่นอกพื้นที่เมืองท่องเที่ยวหลัก และยังมีผู้ประกอบการเมืองรองเข้าร่วมงานเพื่อศึกษางานอีกด้วย

ด้าน “ศรีสุดา วนภิญโญศักดิ์” รองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอเมริกา เสริมว่า สำหรับผู้ซื้อ (buyer) กว่า 351 รายทั่วโลกนั้น แบ่งเป็นภูมิภาคยุโรป แอฟริกา และตะวันออกกลาง 38.75% ภูมิภาคอาเซียนเอเชียใต้ และแปซิฟิกใต้ 27.07% ภูมิภาคเอเชียตะวันออก 22.51% และภูมิภาคอเมริกา 11.68%

ทั้งนี้ นอกจากเมืองรองที่ได้รับความสำคัญแล้ว งานนี้ยังให้ความสำคัญกับตลาดที่เป็นหน้าใหม่ หรือ emerging market โดยมีเป้าหมายเพื่อหานักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ที่ยังไม่คุ้นเคยกับประเทศไทยเข้ามา เพื่อขยายสัดส่วนในตลาดการท่องเที่ยวให้สมดุลกับการแข่งขันที่มากขึ้น

“ตลาดใหม่ที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวเติบโตขึ้นอย่างน่าจับตากระจายอยู่ในหลายพื้นที่ทั่วโลก เช่น แอฟริกาใต้ที่มีการเติบโตของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาไทยกว่า 10% หรือบราซิลและอาร์เจนตินาที่มีประชากรจำนวนมากรวมถึงประเทศในแถบยุโรปตะวันออก อย่างเช็ก สโลวาเกียหรือโปแลนด์ที่แม้มีจำนวนไม่มาก แต่นักท่องเที่ยวล้วนเป็นกลุ่มศักยภาพทั้งสิ้นรวมถึงในรัสเซียยังมีพื้นที่ในแถบตะวันออกไกลอีกมากที่ไทยยังเข้าไปไม่ถึง”

ขณะเดียวกัน ททท.มีความพยายามที่จะกระจายนักท่องเที่ยวออกไปสู่ตลาดใหม่ ๆ มากขึ้น เนื่องจากตลาดเดิมในระยะไกลหลายตลาดเริ่มมีปัญหา อาทิ ตลาดยุโรปที่ได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำต่อเนื่อง โดยเฉพาะสหราชอาณาจักรที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวมากเป็นอันดับต้น ๆ ในภูมิภาคประสบปัญหา Brexit ส่วนตลาดตะวันออกกลางก็ได้รับผลจากการที่อิหร่านถูกแซงก์ชั่นต่อเนื่อง

นอกจากนี้ยังมุ่งขยายตลาดผ่านหลายช่องทาง เพื่อให้รายได้จากนักท่องเที่ยวกลุ่มยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอเมริกาเติบโต 12% ตามเป้าหมาย โดยจะยังคงมุ่งมั่นกับการทำตลาดรายเซ็กเมนต์ที่วางรากฐานมาโดยตลอด ผ่านแคมเปญ open to the new shade เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการทางด้านการท่องเที่ยวใหม่ ๆ อย่างเมืองรองให้กับไทยที่เป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวมากว่า 60 ปี

นอกจากนั้น ททท.จะขยับเพิ่มโอกาสและความเป็นไปได้ในการเดินทางของนักท่องเที่ยวผ่านดีลและโปรโมชั่นต่าง ๆ ซึ่งสำหรับตลาดยุโรปจะมุ่งหน้าทำแคมเปญThailand for more เสริมสิทธิพิเศษเข้าไปในแพ็กเกจเพื่อจูงใจนักท่องเที่ยวให้ตัดสินใจง่ายขึ้น

ส่วนตลาดแอฟริกาใต้จะเสริมความแข็งแกร่งผ่านการร่วมจอยต์เวนเจอร์กับสายการบินกาตาร์ เพื่อขยายเส้นทางและความถี่ของเที่ยวบินจากทวีปแอฟริกาสู่ประเทศไทยมากขึ้น โดยเสนอดีลแลกกับการแวะพักที่กาตาร์ 1 คืน

และในตลาดตะวันออกกลางนั้น ททท.จะหันมาจับกลุ่มที่มีรายได้มั่นคงอย่างข้าราชการ โดยอยู่ระหว่างการเจรจานำแพ็กเกจเที่ยวไทยลงไปบรรจุในบัตรสวัสดิการข้าราชการของกาตาร์ก่อนจะขยายไปยังประเทศอื่น ๆ ในกลุ่มตะวันออกกลางต่อไป

อย่างไรก็ตาม แม้ครึ่งปีแรกที่ผ่านมาหลายตลาดจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวลดน้อยลง แต่ภาพรวมของตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอเมริกาก็ยังคงเป็นบวกจากจำนวนนักท่องเที่ยวจากรัสเซียซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ โดยเชื่อมั่นว่าปีนี้จะยังสามารถมีอัตราการเติบโตได้ 12% ตามเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้