ททท. ขานรับ “รัฐมนตรีใหม่” จาก “ภูมิใจไทย” มั่นใจแผนไม่เปลี่ยน

ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เผยพร้อมทำงานร่วมรัฐมนตรีฯ ใหม่ไม่ว่ามาจากพรรคไหน เชื่อแผนไม่เปลี่ยน เหตุอยู่ใต้นายกฯ คนเดิม พร้อมเสนอมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศครึ่งปีหลัง เตรียมชูลดหย่อนภาษีเมืองรองต่อ ส่วนฟรีวีโอเอรอประเมินตัวเลข ยันไม่ปรับเป้าแม้ครึ่งปีแรกชะลอตัวจากพิษเศรษฐกิจโลก

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากกรณีที่สื่อมวลชนเปิดเผยโผคณะรัฐมนตรีใหม่และรายชื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาปรากฎออกมาเป็น “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” จากพรรคภูมิใจไทย ททท.พร้อมที่จะทำงานกับรัฐมนตรีฯ คนใหม่ไม่ว่าจะมาจากพรรคการเมืองใดก็แล้วแต่ เพราะแม้ว่าจะมีรัฐมนตรีใหม่ แต่ก็ยังอยู่ภายใต้นายกรัฐมนตรีคนเดิม ดังนั้น นโยบายการท่องเที่ยวที่มุ่งสร้างและกระจายรายได้ไปยังพื้นที่ต่างๆ เพื่อทำให้การท่องเที่ยวเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจนั้นจะยังคงอยู่

นอกจากนั้น ททท. ยังเตรียมที่จะนำเสนอมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในช่วงครึ่งปีหลังให้กับรัฐมนตรีฯ ใหม่ เพื่อให้เป้าหมาย 3.4 ล้านล้านบาทเป็นไปได้ในขณะที่ครึ่งปีแรกไทยประสบกับความท้าทายทางด้านการท่องเที่ยวจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง โดยแผนงานที่เตรียมเสนอเน้นกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศเป็นหลัก เนื่องจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใหม่จะเริ่มปฏิบัติงานในช่วงเดือนกรกฎาคมซึ่งยังอยู่ในกรีนซีซั่นที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติน้อยเมื่อเทียบกับช่วงฤดูกาลอื่นและหลายองค์กรยังออกมาปรับคาดการณ์ผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ที่ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการบริโภคภายในประเทศด้วย

“นโยบายลดหย่อนภาษีสำหรับการเที่ยวเมืองรองจะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 มิถุนายนนี้ซึ่งจะต้องประเมินว่าในระยะที่ผ่านมามาตรการนี้ได้ผลหรือไม่ในระยะสั้น หากได้ผลอาจจะมีการเสนอให้พิจารณาต่ออายุนโยบายต่อไป เนื่องจากททท.พยายามหามาตรการระยะสั้น เข้ามากระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ”

ขณะเดียวกัน สถิติการจองที่พักล่วงหน้าในช่วงครึ่งปีหลังถือว่ายังดูดีในหลายประเทศ แม้บางประเทศได้รับผลจากค่าเงินบาทแข็ง พิษเศรษฐกิจโลก และการแข่งขันกับการท่องเที่ยวชาติอื่นบ้าง แต่สำหรับมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง (VOA) ที่จะสิ้นสุดในปลายเดือนตุลาคมนี้ก็อาจจะไม่มีการต่ออายุ หากประเมินตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วอยู่ในทิศทางบวก เพราะเป็นมาตรการระยะสั้นที่ไม่จำเป็นที่จะต้องนำมาใช้ในระยะยาวและครอบคลุมเพียง 20 ประเทศ 1 เขตเศรษฐกิจเท่านั้น

“ททท.ยืนยันจะไม่มีการปรับลดเป้าหมายรายได้ด้านการท่องเที่ยวแน่นอน เนื่องจาก ณ ขณะนี้จำนวนนักท่องเที่ยวก็ยังมีจำนวนเพิ่มขึ้น แม้จะไม่ได้เพิ่มมากนักและไม่เติบโตหวือหวาเท่าปี 2561 เนื่องจากได้รับผลกระทบกับปัจจัยภายนอกหลายอย่าง อาทิ ค่าเงินบาทแข็ง สงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ โดย ททท.กำลังติดตามและประเมินสถานการณ์อยู่ แต่ในขณะเดียวกันก็มีหลายตลาดที่เติบโตมากขึ้น อาทิ ออสเตรเลีย อินเดีย”

ผู้ว่าการ ททท. กล่าาวเพิ่มเติมว่า งบประมาณปี 2563 จะล่าช้าออกไปประมาณ 1 ไตรมาส ทำให้ ททท.ต้องพิจารณาจัดอันดับความสำคัญให้มากขึ้น สำหรับแผนปฎิบัติการ ปี 2563 จะมีการประชุมกันในวันที่ 1-4 กรกฎาคมนี้ จะมีการปรับแผนให้ยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเบื้องต้นจะเน้นการเพิ่มค่าใช้จ่ายต่อทริปของนักท่องเที่ยว การเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวคุณภาพ และการกระจายสัดส่วนนักท่องเที่ยวไปยังพื้นที่เมืองหลักและเมืองรองให้สมดุล รวมถึงสัดส่วนนักท่องเที่ยวในและนอกฤดูกาลท่องเที่ยวด้วย โดยเป้าหมายรายได้ด้านการท่องเที่ยวในปี 2563 คาดเติบโต 10% ต่อเนื่องทุกปี