“ททท.กว่างโจว” เปิดแผน จับกลุ่มโรแมนซ์กวาดตลาด “ลักเซอรี่”

ต้องยอมรับว่านับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา การขยายตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยยังอยู่ในภาวะทรงตัว โดยจากสถิติของกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวฯ พบว่า ในช่วง 4 เดือนแรกที่ผ่านมา อุตสาหกรรมท่องเที่ยวขยายตัวในเชิงปริมาณ 2.11% และขยายตัวในเชิงรายได้เพียง 1.15% 

ขณะที่ตลาดจีนซึ่งเป็นตลาดหลักในเชิงปริมาณติดลบ 3.42% หรือมีจำนวนนักท่องเที่ยวที่ 4.01 ล้านคน เช่นเดียวกับในเชิงรายได้ที่ยังติดลบอยู่ที่ 2.91% หรือมีรายได้รวม 2.21 แสนล้านบาท ซึ่งหากประเมินในเชิงมูลค่าพบว่าในเวลาเพียงแค่ 4 เดือน (ม.ค.-เม.ย. 62) รายได้จากตลาดจีนของไทยหายไปถึงกว่า 6,600 ล้านบาท

“ประชาชาติธุรกิจ” มีโอกาสร่วมสัมภาษณ์ “อินทิรา วุฒิสมบูรณ์” ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานกว่างโจว (ททท.สำนักงานกว่างโจว) ถึงแนวโน้มนักท่องเที่ยวตลาดจีนในปีนี้ รวมถึงทิศทางในการทำการตลาดจีน สำหรับปี 2563 ไว้ดังนี้

กว่างโจว-เซียะเหมินเที่ยวไทย 

“อินทิรา” บอกว่า ททท.สำนักงานกว่างโจวนั้นดูแลพื้นที่ใน 5 มณฑลใหญ่ คือ มณฑลกวางตุ้ง เมืองหลวงคือเมืองกว่างโจว มณฑฝูเจี้ยน เมืองหลวงคือฝูโจว เมืองหลักคือเมืองเซียะเหมินมณฑลเจียงซี เมืองหลวงคือเมืองหนานซางมณฑลหูหนาน เมืองหลวงคือเมืองฉางชา และมณฑลไห่หนาน หรือไหหลำ เมืองหลวงคือเมืองไหโขว่ ทั้ง 5 มณฑลดังกล่าวนี้มีประชากรรวมกันประมาณ 273 ล้านคน

โดยในพื้นที่หลัก ๆ คือ มณฑลกวางตุ้ง ซึ่งเป็นมณฑลที่มีจีดีพีมากเป็นอันดับ 1 ของประเทศจีน และก็เป็นมณฑลที่มีคนจีนไปเที่ยวเมืองไทยมากเป็นอันดับ 1 ด้วย โดยเฉพาะจากเมืองกว่างโจวและเซียะเหมิน (คนจีนในเซี่ยงไฮ้กับปักกิ่งนิยมไปเที่ยวญี่ปุ่นเป็นอันดับ 1)

ขณะเดียวกัน รัฐบาลจีนเองก็หันมาโปรโมตการท่องเที่ยวภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น พร้อมทั้งเร่งสร้างอินฟราสตรักเจอร์รองรับ เช่น รถไฟความเร็วสูง เพื่ออำนวยความสะดวกให้คนจีนสามารถเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศได้สะดวกยิ่งขึ้น

มุ่งเจาะตลาด “โรแมนซ์”

“อินทิรา” บอกด้วยว่า จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น บวกกับภาวะเศรษฐกิจภายในของจีนเองที่เริ่มทรงตัว ทำให้สำนักงานในจีนทุกแห่งต้องทำการบ้านให้ละเอียดยิ่งขึ้น โดยในส่วนของ ททท.สำนักงานกว่างโจวนั้นจะมุ่งเน้นในเรื่องของเซ็กเมนเตชั่นให้มากยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มวันพักและเพิ่มค่าใช้จ่ายต่อคนต่อทริปของนักท่องเที่ยวจีนให้มากขึ้น

โดยแฟลกชิปโปรเจ็กต์ของสำนักงานกว่างโจวสำหรับปี 2563 นี้ คือ การมุ่งเน้นจับตลาดในกลุ่มโรแมนซ์ หรือตลาดกลุ่มคู่รัก พรีเวดดิ้ง แต่งงาน รวมถึงฮันนีมูน ซึ่งเป็นกลุ่มลักเซอรี่ที่มีศักยภาพสูงทั้งในด้านการเดินทางท่องเที่ยวและใช้จ่าย

“อินทิรา” บอกว่าเซ็กเมนต์นี้ส่วนใหญ่จะเป็นคนกลุ่มยังเจเนอเรชั่น เรียนระดับมหาวิทยาลัย หรือเริ่มต้นทำงาน นิยมเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศเป็นแบบคู่รัก และมีกำลังจับจ่ายสูง ทั้งนี้ เนื่องจากประเทศไทยมีโปรดักต์ค่อนข้างมีคุณภาพและหลากหลาย และตอบสนองความต้องการได้ทุกรูปแบบ

ที่สำคัญ นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ยังชื่นชอบสถานที่ที่มีบรรยากาศสนามหญ้าโล่ง ๆ สามารถพักผ่อนและใช้บริการทั้งในส่วนที่เป็นอินดอร์และเอาต์ดอร์

เสริม “เฮลท์&เวลเนส-เมดิคอล” 

“อินทิรา” บอกอีกว่า นอกจากแฟลกชิปโปรเจ็กต์ที่เป็นกลุ่มโรแมนซ์แล้ว ททท.สำนักงานกว่างโจว ยังให้ความสำคัญเซ็กเมนต์ที่เป็นกลุ่มเฮลท์แอนด์เวลเนส และเมดิคอลทัวริซึ่มด้วย เนื่องจากประเทศไทยมีโปรดักต์ที่เป็นโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐาน และก็มีโรงพยาบาลที่ทำเรื่อง IVF (ศูนย์ผู้มีบุตรยาก/เด็กหลอดแก้ว) รวมถึงเรื่องชะลอวัย สปา ทรีตเมนต์ นวด ฯลฯ

นอกจากนี้ยังมีกลุ่มสปอร์ต ซึ่งปัจจุบันคนจีนหันมาสนใจดูแลเรื่องสุขภาพมากขึ้น รวมทั้งกลุ่มเอ็กซ์พีเรียนซ์ ไทยเนสหรือกลุ่มทั่วไปและกลุ่มแฟมิลี่ ซึ่งประเทศไทยก็โปรโมตอย่างต่อเนื่อง

ขายเมืองรองเชื่อมเมืองหลัก

สำหรับนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองของไทยในตลาดจีนนั้น ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานกว่างโจวให้ข้อมูลว่า ในปี 2562 ที่กำลังจะผ่านไปนี้ ททท.ทุกสำนักงานในจีนได้มุ่งเน้นส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองที่เชื่อมโยงกับเมืองหลักในหลายจังหวัด ซึ่งก็พบว่าประสบความสำเร็จในระดับที่ดีอาทิ พื้นที่ภาคเหนือเน้นโปรโมตจังหวัดเชียงรายเชื่อมโยงกับเชียงใหม่ ภาคกลางเน้นโปรโมตสมุทรสงคราม เชื่อมโยงกับกรุงเทพฯ ภาคตะวันออกเน้นโปรโมตจันทบุรี ระยอง และตราด เชื่อมโยงกับกรุงเทพฯ ภาคใต้เน้นโปรโมตสตูลเชื่อมโยงกับภูเก็ต เป็นต้น

โดยในปี 2563 นี้ เมืองรองที่จะเร่งโปรโมต คือ สุราษฎร์ธานี (รวมสมุย) ซึ่งนอกจากเน้นขายชายหาดและทะเลแล้ว ในปีหน้าจะเน้นโปรโมตพื้นที่ที่เป็นเมนแลนด์ อาทิ เรื่องโลคอลทัวริซึ่ม, แก๊สโตโนมี่ทัวริซึ่ม ฯลฯ โดยจะเชื่อมโยงกับทะเลซึ่งเป็นจุดขายเดิมด้วย

“ถ้าเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน ตอนนี้ประเทศไทยยังคงเป็นเดสติเนชั่นที่คนจีนส่วนใหญ่นิยมในอันดับต้น ๆ เหมือนเดิม แต่ถ้าเทียบกับญี่ปุ่นประเทศไทยยังถือว่ามีสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวน้อยเกินไป โดยเฉพาะในพื้นที่เมืองรองที่สิ่งอำนวยความสะดวกยังไม่เอื้อนัก”

คนจีนยังเที่ยว ตปท.

เมื่อถามว่าจากปัญหาภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว รวมถึงสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐที่ยังยืดเยื้อนั้นส่งผลกระทบการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศของคนจีนหรือไม่ “อินทิรา” บอกว่า ถ้าดูจากแนวโน้ม ณ ขณะนี้ เชื่อมั่นว่าในภาพรวมปีนี้คนจีนยังเดินทางออกนอกประเทศยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพียงแต่อัตราการเพิ่มอาจจะไม่สูงนัก เมื่อเทียบกับช่วงปี 2 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากปัจจุบันเศรษฐกิจของจีนก็ไม่ได้เติบโตแบบก้าวกระโดดเหมือนที่ผ่านมา

พร้อมย้ำว่า ส่วนผลกระทบจากปัญหาสงครามการค้านั้นในอนาคตอาจเป็นไปได้ แต่ ณ ขณะนี้ยังไม่ชัดเจนแต่อย่างใด เพราะรัฐบาลจีนยังไม่ได้ออกประกาศ หรือออกมาตรการออกมาว่าห้ามคนจีนเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ เพื่อรักษาระดับเศรษฐกิจของประเทศ หรืออะไรทำนองนี้ออกมา เพียงแต่หันมาโปรโมตท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น


อย่างไรก็ตาม เชื่อมั่นว่าสำหรับประเทศไทยแล้ว คนจีนยังนิยมเดินทางมาท่องเที่ยวในอันดับต้น ๆ อยู่ และยังมั่นใจว่าภาพรวมตลอดทั้งปีนี้ ตลาดรายได้จากตลาดจีนจะยังมีอัตราการเติบโตได้ในระดับที่ราว 5% หรือมากกว่าเล็กน้อยได้แน่นอน