พิษเศรษฐกิจโลก-เงินบาทแข็งค่าหนัก ททท.ทำใจปรับลดเป้ารายได้ท่องเที่ยวปี”62 ลง 2 หมื่นล้านเหลือ 3.38 ล้านล้าน เตรียมบูมตลาดระยะใกล้ “อาเซียน-เอเชียตะวันออก” ปั๊มตัวเลข 6 เดือนหลัง ประกาศแผนปี”63 มุ่งเจาะตลาดรายเซ็กเมนต์-นิชมาร์เก็ต ปั้นรายได้ 3.72 ล้านล้าน ด้าน “ทศพล ศิริสัมพันธ์” ประธานบอร์ด ททท. ฝันดันรายได้ท่องเที่ยวขึ้น 40% ของจีดีพี
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า นับตั้งแต่เกิดวิกฤตนักท่องเที่ยวลดลงเมื่อปลายปี 2561 ที่ผ่านมา บวกกับสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงทั่วโลกและมีปัจจัยลบรุมเร้าหลายทางต่อเนื่อง ทั้งเศรษฐกิจยุโรปที่ปรับตัวลดลง ภาวะเงินบาทแข็งค่า
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
รวมถึงดีมานด์ทางด้านการท่องเที่ยวที่ลดลงทั่วโลก ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติชะลอการท่องเที่ยว หรือหันไปท่องเที่ยวในประเทศที่มีต้นทุนทางด้านการท่องเที่ยวต่ำแทนจุดหมายปลายทางที่มีค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาประเทศไทยด้วย
กัดฟันลดเป้ารายได้ 2 หมื่นล้าน
ททท.จึงตัดสินใจปรับลดเป้าหมายรายได้จากการท่องเที่ยวสำหรับปี 2562 มาอยู่ที่รายได้รวม 3.38 ล้านล้านบาท จากเป้าเดิมที่วางไว้ที่ 3.4 ล้านล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2.21 ล้านล้านบาท และนักท่องเที่ยวชาวไทย 1.17 ล้านล้านบาท หรือปรับลดลงไปทั้งหมด 20,000 ล้านบาท หรือเท่ากับลดเป้าหมายการเติบโตจาก 11.5% เป็น 9.5%
สำหรับในด้านจำนวนนักท่องเที่ยวนั้น ยังคงเชื่อว่านักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติจะยังคงเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 40.2 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากจำนวน 38.3 ล้านคนในปี 2561 และนักท่องเที่ยวไทยขยับจาก 162 ล้านคน-ครั้งขึ้นไป เป็น 170 ล้านคน-ครั้งในปี 2562
สปีดตลาดระยะใกล้
นายยุทธศักดิ์กล่าวต่อไปอีกว่า ปัจจุบันรายได้จากการท่องเที่ยวของไทยยังคงเติบโตล่าช้ากว่าเป้าอยู่ประมาณ 2-3% โดยเชื่อว่าภายใน 6 เดือนที่เหลือของปีนี้จะสามารถผลักดันรายได้จากการท่องเที่ยวให้ถึง 3.38 ล้านล้านบาท ผ่านการกระตุ้นตลาดระยะใกล้อย่างตลาดอาเซียนและเอเชียตะวันออก อาทิ เกาหลี ญี่ปุ่น เป็นต้น
รวมทั้งตลาดจีนที่คาดว่านักท่องเที่ยวในไตรมาส 3 ปีนี้จะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันในปีก่อนได้ราว 5-10% ขณะเดียวกันยังเชื่อว่าสงครามการค้าจะส่งสัญญาณบวกมายังการท่องเที่ยวไทย เมื่อนักท่องเที่ยวจีนหลีกเลี่ยงการเดินทางสู่สหรัฐอเมริกา และหันมาเที่ยวระยะใกล้มากขึ้นด้วย
“ต้องเห็นใจ ททท.ด้วย เพราะสภาวการณ์เศรษฐกิจและการเมืองทั่วโลกไม่มีปัจจัยบวกเลย และจากรายงานสถิติของ UNWTO ก็แสดงให้เห็นว่า รายได้จากการท่องเที่ยวโลกเติบโตเฉลี่ยเพียงปีละ 2% และรายได้จากการท่องเที่ยวในเอเชีย-แปซิฟิกเติบโตเฉลี่ยแค่ปีละ 7% ต่อปีเท่านั้น แต่การท่องเที่ยวไทยเติบโตเฉลี่ยมากกว่าทั่วโลก”
คาดปี”63 รายได้ 3.72 ล้านล้าน
สำหรับแนวทางการดำเนินงานของ ททท.ในปี 2563 นั้น นายยุทธศักดิ์กล่าวว่า แผนหลักคงไม่ได้พลิกจากเดิมมากนัก โดยจะยังคงมุ่งทำตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพด้วยการตลาดแบบเซ็กเมนต์และตลาดแบบเฉพาะกลุ่ม (นิช มาร์เก็ต)
โดย ททท.ตั้งเป้าจะทำรายได้จากการท่องเที่ยวในปี 2563 เพิ่มขึ้น 10% คิดเป็นมูลค่ากว่า 3.72 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น นักท่องเที่ยวต่างชาติ 42 ล้านคน สร้างรายได้ 2.43 ล้านล้านบาท และนักท่องเที่ยวชาวไทย 185 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้ 1.28 ล้านล้านบาท
ปั้นรายได้ปี”64 ทะลุ 4 ล้าน ล.
นอกจากนั้น ททท.จะร่วมกับสภาพัฒน์ในการพัฒนาฝั่งอุปสงค์และอุปทานให้กับเมืองรองต่าง ๆ เพื่อยกระดับศักยภาพในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยว โดยจะเริ่มจากจังหวัดที่มีศักยภาพที่เลือกมาเบื้องต้น 10 จังหวัด ได้แก่ แม่ฮ่องสอน, เชียงราย, หนองคาย, อุบลราชธานี, สระแก้ว, ตราด, ชุมพร, ระนอง, ตรัง และสตูล ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพูดคุยรายละเอียดของแผนดังกล่าว
“เพื่อทำงานพัฒนาทั้งดีมานด์และซัพพลายในงบประมาณปี 2563 นี้ ททท.จึงขอปรับเพิ่มงบขึ้น 5-6% จากงบราว 6,000 ล้านบาท ในปีงบประมาณ 2562”
นอกจากนี้ ภายในปี 2564 ททท.ยังมีพันธกิจจากแผนของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่จะทำรายได้จากการท่องเที่ยวทะลุ 4 ล้านล้านบาท
สั่งลุยซัพพลายไซด์
ด้านนายทศพล ศิริสัมพันธ์ ประธานกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ประธานบอร์ด ททท.) กล่าวว่า ขณะนี้การท่องเที่ยวเป็นภาคส่วนที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย ปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ประมาณ 18-20% และมีขีดความสามารถในการแข่งขันทางด้านการท่องเที่ยวอยู่ในอันดับที่ 34 ของโลก
ทั้งนี้ ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ระหว่างปี 2560-2580 กำหนดให้ทุกภาคส่วนร่วมกันผลักดันขีดความสามารถในการแข่งขันของการท่องเที่ยวไทยขึ้นไปอยู่ในอันดับที่ 30 ภายใน 5 ปี
ฝันปี”80 รายได้ 40% ของจีดีพี
นอกจากนั้น ยังตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้การท่องเที่ยวต่อ GDP ให้ขยับไปเป็น 22% ในปี 2564 และขยับไปถึง 30% ให้ได้ภายในปี 2580 พร้อมทั้งกระจายสัดส่วนรายได้จากการท่องเที่ยวไปสู่แหล่งท่องเที่ยวเมืองรองให้เพิ่มไปสู่ 40%
ดังนั้นการผลักดันในระยะต่อไปจะให้ความสำคัญกับการรักษาและพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของประเทศผ่านการบูรณาการของทุกภาคส่วน อาทิ การผลักดันการท่องเที่ยวผ่านโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก, Southern Economic Corridor, ไทยแลนด์ริเวียร่า ฯลฯ
ทั้งนี้ จะมุ่งเน้นการเพิ่มมูลค่าทางด้านการท่องเที่ยว เพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวคุณภาพ รวมถึงผลักดันสินค้าและบริการทางด้านการท่องเที่ยวให้มีความหลากหลาย กระจายรายได้ทางการท่องเที่ยวออกสู่ชุมชน พร้อมทั้งเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค ในฐานะฮับที่เป็นแม่เหล็กดึงดูดให้นักท่องเที่ยวกลับมาเที่ยวซ้ำและแนะนำต่อ
โดยประเภทของการท่องเที่ยวที่มีความน่าสนใจและมีศักยภาพที่ควรผลักดันเพิ่มเติมคือ การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์, การท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ, การท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ ความงามและแผนไทย, การท่องเที่ยวทางน้ำ และการท่องเที่ยวเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาค