“ทีเส็บ” ตั้งเป้าดูดงานระดับนานาชาติ หวังยกระดับไมซ์ไทยสู่ฮับอาเซียน

“ทีเส็บ” เผยแผนดึงงานปีงบประมาณ 2563 ตั้งเป้าดูดงานแสดงสินค้า-จัดประชุมระดับนานาชาติ หวังต่อยอดทางธุรกิจสะพัดทั่วประเทศ พร้อมกระจายงานไมซ์ลงสู่ภูมิภาค พาไทยสู่ฮับอาเซียน

นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ เปิดเผยถึงวิสัยทัศน์ในการดึงงานสำหรับปีงบประมาณปี 2563 ในการจัดงาน Thailand MICE Forum 2019 ว่า ทีเส็บเตรียมทำงานภายใต้กรอบการทำงานเน้นการดึงงานสำคัญและได้รับการสนับสนุนงานตามนโยบายรัฐบาล รวมทั้งงานใหญ่ในระดับภูมิภาคและระดับโลก เข้ามาจัดในภูมิภาคต่างๆ ทั้งในเมืองไมซ์ เมืองรองไมซ์ และพื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจ

โดยปีงบประมาณหน้าประเทศไทยมีเป้าหมายที่จะต้องดึงงานประเภทการจัดแสดงสินค้าให้ได้มากกว่า 17 งานซึ่งขณะนี้สามารถดึงงานมาได้มากกว่า 17 งานแล้ว ส่วนการจัดประชุมนั้นมีเป้าหมายที่จะต้องทำให้ได้มากกว่าสถิติของปีก่อนที่ 13-14 งาน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินดึงงานเพิ่มเติม

ล่าสุดไทยได้รับโอกาสสำคัญในการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมใหญ่ด้านงานแสดงสินค้าโลก หรือ 86th UFI Global Congress จัดโดยสมาคมอุตสาหกรรมการจัดงานแสดงสินค้าโลก (UFI) ระหว่างวันที่ 6-9 พฤศจิกายน 2562 ภายใต้แนวคิด “Platforms of Trust : Connect – Engage – Succeed ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีผู้เข้าร่วมงาน 550 คน จาก 50 ประเทศทั่วโลก

โดยในงานจะแบ่งเป็น 5 โซนกิจกรรม ประกอบด้วย Thai Town โซนพิเศษแสดงศักยภาพอุตสาหกรรมการแสดงสินค้าและไมซ์ซิตี้ สัมมนาเชิงธุรกิจ “ประเทศไทย” จุดหมายใหม่แห่งอุตสาหกรรมการแสดงสินค้าของโลก เวทีเจรจาธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการไทยและต่างชาติ / กิจกรรมเพื่อสังคม และกอล์ฟกระชับมิตร

“การเป็นเจ้าภาพจัดงานครั้งนี้จะช่วยสร้างความมั่นใจในการทำธุรกิจในประเทศไทย เพิ่มโอกาสทางธุรกิจจากผู้เข้าร่วมงาน 550 คน จาก 50 ประเทศทั่วโลก ที่คาดว่าจะสร้างรายได้ให้เศรษฐกิจกว่า 44 ล้านบาท อีกทั้งยังทำให้นานาชาติรับรู้ถึงความพร้อมของกรุงเทพมหานครในการเป็นเจ้าภาพจัดงานระดับโลก ยกระดับภาพลักษณ์ประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางจัดงานแสดงสินค้าระดับโลก”

นอกจากนี้ ในปีมีงานไมซ์ไฮไลท์อีกมากมาย ในปีงบประมาณ 2563 หรือตั้งแต่ตุลาคม 2562 – กันยายน 2563 ทั้งงานแสดงสินค้านานาชาติ อาทิ งาน ASEAN BIKE powered by EURO BIKE หรืองานแสดงสินค้าจักรยานอาเซียน (3-5 ต.ค. 2562) จำนวน 8,000 คน งาน Thailand Marine & Offshore Expo 2019 หรืองานมหกรรมอุตสาหกรรมนอกชายฝั่งทะเล การต่อเรือและการขนส่งทางเรือ (9-11 ต.ค. 2562) จำนวน 3,700 คน และ งาน VIV health & Nutrition Asia 2020 หรืองานแสดงเทคโนโลยีและสัมมนาสำหรับอุตสาหกรรมปศุสัตว์และสัตว์น้ำ (24-26 มี.ค. 2563) จำนวน 4,650 คน

งานประชุมนานาชาติ อาทิ งาน Asia Fitness Conference หรืองานประชุมนานาชาติเพื่อส่งเสริมและพัฒนาองค์ความรู้แก่ผู้ประกอบวิชาชีพ ด้านกีฬาและการออกกำลังกาย (10-14 ต.ค. 2562) จำนวน 1,200 คน กรุงเทพมหานคร งาน Routes Asia 2020 หรืองานประชุมนานาชาติด้านการดำเนินธุรกิจท่าอากาศยาน และการลงทุนด้านธุรกิจการบิน (8-10 มี.ค. 2563) จำนวน 1,200 คน เชียงใหม่ งานประชุมสัมมนาและการเดินทางเพื่อเป็นรางวัล อาทิ งาน Herbalife Southeast Asia Extravaganza 2020 (14-17 พ.ค. 2563) จำนวน 10,000 คน

รวมถึงงานเมกะอีเว้นท์และเทศกาลนานาชาติ อาทิ งาน L’ÉTAPE THAILAND BY TOUR DE FRANCE รายการแข่งขันจักรยานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดรายการหนึ่งของโลก (25-27 ต.ค. 2562) จำนวน 16,000 คน พังงา / งานแสดงสินค้าในประเทศ อาทิ งาน Northeast Tech 2019 หรืองานแสดงสินค้าและเทคโนโลยีใหญ่ที่สุดในอีสาน (31 ต.ค. – 3 พ.ย. 2562) จำนวน 40,000 คน นครราชสีมา และงาน Rice Expo 2019 หรืองานเทศกาลข้าวหอมมะลิโลกครั้งที่ 20 (พ.ย. 62) ร้อยเอ็ด

ด้านนายทาลูน เทง นายกสมาคม สมาคมการแสดงสินค้าไทย (TEA) กล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์การจัดงานแสดงสินค้าในประเทศไทยมีอัตราการเติบโตขึ้นทุกปี มีการขยายตัวของพื้นที่จัดงานมากขึ้น โดยแต่ละงานเริ่มมีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ มาใช้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่ให้กับผู้ร่วมงาน

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าธุรกิจการจัดงานแสดงสินค้าในประเทศไทยมีศักยภาพเพียงพอที่จะเติบโตเป็นจุดหมายปลายทางไมซ์ระดับโลก แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นบุคลากร การบริการ เทคโนโลยี กฎระเบียบบางอย่าง รวมถึงผู้ประกอบการที่ต้องร่วมกันพัฒนามาตรฐานของตนเอง และทำการตลาดในเชิงรุกมากขึ้นเพื่อดึงงานแสดงสินค้าระดับโลกมาจัดในประเทศไทย

โดยปัจจุบันไทยในฐานะจุดหมายปลายทางไมซ์อันดับ 1 ของอาเซียนควรจะยกระดับความเป็นฮับขึ้นด้วยการดึงงานจากพื้นที่ต่างๆ ของอาเซียนเข้ามาจัดแสดงให้ประเทศมากขึ้น รวมถึงขจัดอุปสรรคในการพัฒนาพื้นที่จัดแสดงงานโดยการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการในพื้นที่ต่างๆ ได้พัฒนาพื้นที่จัดแสดงงานขึ้นตามพื้นที่แต่ละภูมิภาคให้ทันกับดีมานด์ที่เกิดขึ้น