รัฐยกมาตรฐานธุรกิจทัวร์ เล็งตั้งราคาขั้นต่ำ-ปราบทัวร์ไฟไหม้

ท่ามกลางการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทำให้ทุกฝ่ายยอมรับว่า “การท่องเที่ยว” เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยสร้างรายได้เข้าประเทศ ปัจจุบันการท่องเที่ยวของไทยมีรายได้ราว 20% ของจีดีพีประเทศ

โดยในปี 2561 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีรายได้จากภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวรวม 3.08 ล้านล้านบาท

ขณะที่คนไทยก็เดินทางออกไปท่องเที่ยวในต่างประเทศเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปีเช่นกัน โดยในปีที่ผ่านมามีจำนวนคนไทยเดินทางออกไปเที่ยวต่างประเทศถึง 10 ล้านคน คิดเป็นรายจ่ายประมาณ 3 แสนล้านบาท และคาดว่าจะเพิ่มเป็น3.3 แสนล้านบาท ในปี 2562 นี้

“ทัวร์ไร้คุณภาพ” ขายเกลื่อน

แหล่งข่าวในธุรกิจท่องเที่ยวรายหนึ่งกล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เมื่อมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น ทั้งในส่วนของตลาดต่างชาติเที่ยวไทย (อินบาวนด์) และตลาดคนไทยเที่ยวต่างประเทศ (เอาต์บาวนด์) ปัญหาที่ตามมาคือ ทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยเกิดการแข่งขันด้านราคา และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดปัญหา “ทัวร์ไร้คุณภาพ” และปัญหาใหม่ ๆ ที่ส่งผลกระทบถึงภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศ และเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาการท่องเที่ยว

ไม่ว่าจะเป็นปรากฏการณ์ “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” ที่เกิดขึ้นกับตลาดจีน กระทั่งรัฐบาลต้องออกโรงปราบทัวร์ศูนย์เหรียญเมื่อปี 2558 หรือกรณี “ทัวร์แช่แข็ง” ของบริษัทอีแอลซี ที่ขายทัวร์ในราคาต่ำกว่าต้นทุนและเข้าข่ายหลอกขายทัวร์ให้นักท่องเที่ยว สุดท้ายคนที่ซื้อแล้วไม่ได้เดินทาง จนกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่หน่วยงานรัฐที่กำกับดูแลต้องสั่งเพิกถอนใบอนุญาต

หรือในกรณีของ “โปรไฟไหม้” ที่ทุบราคาแพ็กเกจทัวร์แบบต่ำกว่าทุน (ขายทัวร์แบบอีก 2-3 วันเดินทาง) และอีกมากมายที่มาพร้อมกับเทคนิคการขายในรูปแบบที่ไม่ใช่ “โปรไฟไหม้” จริง แต่ใช้วิธีขายแบบ “ทัวร์ราคาถูก” ด้วยการแยกจ่ายค่าทัวร์

ค่าไกด์นำเที่ยว ค่าคนขับรถ ค่าวีซ่า ฯลฯ หรือใส่โปรแกรมเข้าร้านช็อปปิ้งเยอะ ๆ เพื่อทำราคาขายให้ต่ำแบบสุด ๆ พร้อมใช้เวิร์ดดิ้ง “โปรไฟไหม้” เพื่อทำให้ผู้บริโภคเข้าใจว่าเป็นแพ็กเกจทัวร์ราคาถูกมาเป็นเครื่องมือช่วยให้ตัดสินใจเร็วขึ้น และสร้าง “ความได้เปรียบ” ทางการตลาด

กม.ระบุต้องกำหนดราคาขั้นต่ำ

แหล่งข่าวระบุด้วยว่า ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนี้ ที่ผ่านมา “กรมการท่องเที่ยว” กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐที่กำกับดูแลกลับไม่สามารถจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นได้ โดยอ้างว่าไม่มี “เครื่องมือ” ที่จะนำมาจัดการกับพวกทำธุรกิจทัวร์แบบ “ศรีธนญชัย” พวกนี้ได้

พร้อมทั้งบอกอีกว่า ในมาตรา 31 ของพ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. 2551 และ พ.ศ. 2559 (ฉบับแก้ไข) ระบุไว้ชัดเจนว่า “ห้ามไม่ให้ผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวจัดบริการนำเที่ยวให้แก่นักท่องเที่ยวโดยไม่เรียกเก็บค่าบริการ หรือเก็บค่าบริการในอัตราที่เห็นได้ว่าไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย

ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการประกาศกำหนด โดยหลักเกณฑ์ดังกล่าวอย่างน้อยให้กำหนดอัตราค่าบริการขั้นต่ำและกำหนดให้มีการจัดทำเอกสารให้เห็นถึงค่าบริการที่เรียกเก็บ” โดยกำหนดให้ดำเนินการภายใน 180 วัน จากวันที่ประกาศเมื่อ 23 สิงหาคม 2559

“พ.ร.บ.ประกาศใช้ไปนานแล้ว แต่หน่วยงานรัฐที่ทำหน้าที่กำกับดูแลยังไม่ได้ประกาศเรื่องการกำหนดอัตราค่าบริการขั้นต่ำออกมา มีเพียงแค่อินบาวนด์ตลาดจีนเท่านั้นที่ได้กำหนดไปแล้วเมื่อปี 2558 ในช่วงที่รัฐบาลปราบทัวร์ศูนย์เหรียญ แต่สำหรับตลาดเอาต์บาวนด์ หรือคนไทยเที่ยวนอกซึ่งเป็นตลาดที่มีปัญหาจำนวนมากนั้นยังไม่ได้ประกาศชัดเจน ทำให้รูปแบบการขายทัวร์ไปเที่ยวนอกขณะนี้แห่เล่นสงครามราคา และขายทัวร์ไร้คุณภาพ หมกเม็ดโปรแกรมช็อปปิ้งอย่างหนักในขณะนี้” แหล่งข่าวกล่าว

“กรมการท่องเที่ยว” ขยับแล้ว

ด้าน “ทวีศักดิ์ วาณิชย์เจริญ” อธิบดีกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้ข้อมูลว่า ขณะนี้ทางกรมการท่องเที่ยวกำลังดำเนินการเพื่อหาแนวทางกำหนดอัตราค่าบริการนำเที่ยว

ขั้นต่ำ ทั้งสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปต่างประเทศ (เอาต์บาวนด์) นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย (อินบาวนด์) รวมถึงตลาดคนไทยเที่ยวในประเทศ ซึ่งเป็นไปตามข้อบังคับตามมาตรา 31 ของ พ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. 2551 และ พ.ศ. 2559 (ฉบับแก้ไข)

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการยกระดับมาตรฐานความเชื่อมั่นให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทย และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว รวมทั้งยังเป็นมาตรการป้องปรามและทำให้เกิดการทำธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบด้วย

“ทวีศักดิ์” บอกว่า เรื่องนี้ทางกรมการท่องเที่ยวได้คุยกับสมาคมท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องมาตลอด แต่ยังไม่ได้ข้อยุติว่าอัตราที่กำหนดนั้นควรจะเป็นเท่าไหร่

ทั้งนี้ เพื่อลดปัญหาการขายทัวร์แล้วไม่สามารถนำนักท่องเที่ยวไปเที่ยวได้ รวมถึงปัญหาอื่น ๆ เช่น ห้ามไม่ให้เรียกเก็บเงินนักท่องเที่ยวเพิ่มเติมจากแพ็กเกจทัวร์ ไม่ว่าจะเป็นค่าไกด์นำเที่ยว ค่าคนขับรถ รวมถึงบังคับให้นักท่องเที่ยวซื้อสินค้าในร้านช็อปปิ้ง เป็นต้น รวมทั้งทำให้รัฐมีเครื่องมือในการกำกับดูแล และปราบปรามบริษัททัวร์ที่ไม่อยู่ในกฎกติกาด้วย

คาดประกาศใช้ พ.ย.นี้

สำหรับแนวทางกำหนดอัตราค่าบริการนำเที่ยวขั้นต่ำนั้น “ทวีศักดิ์” อธิบายว่า จะกำหนดเป็นกลุ่มประเทศ อาทิ ตลาดยุโรป, อเมริกา, เอเชีย, อาเซียน (ยกเว้นสิงคโปร์) เป็นต้น ทั้งนี้ เนื่องจากรูปแบบ วิธีการ และหลักการทำธุรกิจของแต่ละตลาดแตกต่างกัน

“ที่ผ่านมาได้คุยเรื่องนี้กับส่วนงานที่เกี่ยวข้องแล้ว คาดว่าน่าจะได้ข้อสรุปเร็ว ๆ นี้ และประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อบังคับใช้ได้ในเดือนพฤศจิกายนนี้”

จ่อยกเครื่องกฎหมายอีกรอบ

“ทวีศักดิ์” ยังบอกด้วยว่า เพื่อให้เป็นการช่วยยกระดับมาตรการของธุรกิจท่องเที่ยวให้สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบันมากยิ่งขึ้น ขณะนี้ทางกรมการท่องเที่ยวยังได้ว่าจ้างสถาบันการศึกษาให้ทำการศึกษาข้อมูลเพื่อนำมาปรับกฎหมายบางส่วนอีกครั้ง เพื่อให้กฎหมายมีความครบถ้วน รัดกุม ทันสมัย และสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในอีก 10-20 ปีข้างหน้า

โดยจะพิจารณาใน 4 เรื่องหลัก ๆ ประกอบด้วย 1.ด้านการส่งเสริมและพัฒนาบริษัทนำเที่ยว ผู้นำเที่ยว และมัคคุเทศก์ 2.ด้านการปราบปราม ป้องกัน ปัญหา 3.ด้านบทลงโทษและกระบวนการขั้นตอนการจัดการกับบริษัทที่กระทำผิด และ 4.ด้านการให้รางวัลกับคนที่ทำดี เป็นต้น

“แอตต้า” ขอดูรายละเอียดชัด ๆ

“วิชิต ประกอบโกศล” นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) บอกว่ามาตรการดังกล่าวเป็นแนวคิดที่ดี แต่ทางสมาคมแอตต้าคงต้องรอดูรายละเอียดให้ชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากหวั่นว่าบริษัทที่อยู่ในกรอบกติกาอยู่แล้วจะได้รับผลกระทบ

“ส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะทำให้วงการทัวร์มีมาตรฐาน ใครทำผิดกฎก็ต้องได้รับโทษ อย่างไรก็ตาม อยากให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องพิจารณาอย่างละเอียด รอบคอบ เนื่องจากหลักการทำธุรกิจในแต่ละตลาดมีความแตกต่างกันอย่างมาก ดังนั้น หลักการพิจารณาและกำหนดอัตราค่าบริการขั้นต่ำในแต่ละตลาดจึงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก” วิชิตย้ำ

ประเด็นนี้ จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายหน่วยงานรัฐอย่างมากว่าจะสามารถกำหนดอัตราราคาขั้นต่ำได้ตามเป้าหมายหรือไม่ อย่างไร และหากประกาศออกมาแล้วจะบังคับใช้ได้จริงตามวัตถุประสงค์หรือไม่ หรือจะเป็นเพียงแค่ “เขียนเสือให้วัวกลัว” หรือทำเพียงแค่ให้เป็นไปตามข้อบังคับของกฎหมายเท่านั้น…