“หนุ่มสาวทัวร์” เปิดตลาดใหม่ ขยับขึ้นผู้นำ “ท่องเที่ยวอาเซียน”

กำลังจะก้าวเข้าสู่ปีที่ 40 ของการดำเนินงานแล้วสำหรับ “หนุ่มสาวทัวร์” นับเป็น 40 ปีที่ก้าวข้ามวิกฤตการณ์ท่องเที่ยวมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะกระแสความเปลี่ยนแปลงของโลกเทคโนโลยี ภายใต้การนำทัพของ “ศุภฤกษ์ ศูรางกูร”

วันนี้ ธุรกิจได้ส่งต่อมาถึงรุ่นลูกแล้ว จะก้าวต่อไปอย่างไรท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของตลาดท่องเที่ยว “ประชาชาติธุรกิจ” ได้ร่วมสัมภาษณ์ “โชติช่วง ศูรางกูร” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท หนุ่มสาวทัวร์ จำกัด ผู้บริหารคนปัจจุบันถึงแนวคิดและทิศทางต่อไปของหนุ่มสาวทัวร์ไว้ดังนี้

“โชติช่วง” บอกว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2562 ที่ผ่านมาถือเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปีนี้ ขณะที่ไตรมาส 2 และ 3 ออกมาไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ของหนุ่มสาวทัวร์เป็นลูกค้าประเภทองค์กร ซึ่งอ่อนไหวกับความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและเศรษฐกิจ ได้ปรับลดงบประมาณการเดินทางลง

ไม่เพียงเท่านั้นในช่วงไตรมาสที่ 3 ตลาดอินบาวนด์ก็เริ่มได้รับผลกระทบจากสภาวะผันผวนของเศรษฐกิจโลก และค่าเงินบาทแข็งค่า ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากแถบยุโรปชะลอการเดินทาง โดยคาดว่าจะส่งผลต่อเนื่องไปสู่ไตรมาสที่ 4 ต่อไปด้วยครอง

ตลาดกลุ่มลูกค้าองค์กร

“โชติช่วง” กล่าวอีกว่า ปัจจุบัน “หนุ่มสาวทัวร์” มีลูกค้า 2 กลุ่มหลัก คือ 1.กลุ่มองค์กร มีสัดส่วน 85% โดยประกอบด้วยองค์กรเอกชนประมาณ 70% และองค์กรภาครัฐ 15% และ 2.ส่วนกลุ่มลูกค้าทั่วไปที่ไม่ใช่องค์กร มีอยู่ประมาณ 15% ของลูกค้าทั้งหมด

ส่วนรายได้ของหนุ่มสาวทัวร์นั้นมาจาก 3 ตลาดหลัก ได้แก่ ตลาดโดเมสติก60% ตลาดเอาต์บาวนด์ 35% และตลาดอินบาวนด์ 5%

“เราอยู่ในวงการท่องเที่ยวมากว่า 40 ปี จึงเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป รวมถึงได้รับความไว้วางใจจากกลุ่มองค์กรทั้งภาครัฐและภาคเอกชนขนาดใหญ่หลายแห่ง ให้รับหน้าที่จัดแพ็กเกจสำหรับการประชุมสัมมนา รวมถึงการท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล”

โดยจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมเป็นพิเศษสำหรับตลาดเอาต์บาวนด์ คือ พื้นที่โซนยุโรปกลาง อาทิ ออสเตรีย สาธารณรัฐเช็ก ฯลฯ ซึ่งราคาทัวร์เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 30,000 บาทปลายต่อแพ็กเกจ 7 วัน 4 คืน รวมถึงพื้นที่ชมแสงเหนืออย่างรัสเซีย หรือไอซ์แลนด์ และการเดินทางไหว้พระในฮ่องกงที่เป็นที่นิยมในหมู่คนไทย

มุ่งเจาะเซ็กเมนต์ใหม่

ผู้บริหารหนุ่มของ “หนุ่มสาวทัวร์” ยังบอกด้วยว่า ส่วนตัวเชื่อว่าธุรกิจทัวร์ยังสามารถเติบโตได้อยู่ แต่ในรูปแบบที่เป็นเซ็กเมนต์มากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันลูกค้ามีทางเลือกในการท่องเที่ยวมากขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นการจองผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ การใช้บริการแผนที่บนอินเทอร์เน็ตซึ่งเอื้อให้ลูกค้าหันไปเดินทางเองมากขึ้นดังนั้นในปี 2563 หนุ่มสาวทัวร์จึงเตรียมที่จะสร้างสมดุลระหว่างกลุ่มลูกค้าองค์กรและไม่ใช่องค์กรให้อยู่ที่ 70:30 เพื่อลดความเสี่ยง พร้อมหันมาทำตลาดเจาะกลุ่มเซ็กเมนต์มากขึ้น

โดยเซ็กเมนต์ที่หนุ่มสาวเริ่มทำมานานแล้ว และจะมุ่งทำต่อไปอย่างแน่นอน คือ ฐานลูกค้ากลุ่มไมซ์ โดยจะหันมาจับตลาดองค์กรกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) มากขึ้น เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ตัดสินใจง่าย และขั้นตอนน้อยกว่าองค์กรขนาดใหญ่ แต่มีส่วนต่างผลตอบแทนมากกว่า

ส่วนในกลุ่มนักท่องเที่ยวทั่วไปนั้น “โชติช่วง” บอกว่า ในตลาดเอาต์บาวนด์จะหันมาเปิดจุดหมายปลายทางใหม่ ๆ ที่เป็น exotic destination สำหรับมอบประสบการณ์ครั้งเดียวในชีวิตให้กับลูกค้าในพื้นที่ต่าง ๆ อาทิ ท่องเที่ยวมาชูปิกชู ในประเทศบราซิล หรือสัมผัสประสบการณ์ตื่นตาอื่น ๆ ในแถบละตินอเมริกาโดยเน้นการเดินทางสะดวกสบายระดับไฮเอนด์ และมีราคาต่อแพ็กเกจอยู่ที่ประมาณ 180,000-195,000 บาท

“อีกตลาดหนึ่งที่จะเร่งทำในปีหน้านั้น คือ แพ็กเกจทัวร์สำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งเราศึกษามาหลายปีเพื่อปรับแผนการท่องเที่ยว ที่พัก จุดหมายปลายทาง บริการขนส่ง และผู้นำทัวร์ให้เหมาะสมกับผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการในเส้นทางระยะใกล้ก่อน อาทิ ไต้หวัน ฮ่องกง และจีน ซึ่งจะสื่อสารการตลาดผ่านทางลูกหลานในแคมเปญซื้อทัวร์ให้พ่อแม่เที่ยว เพื่อให้ลูกหลานสามารถส่งผู้สูงอายุมาเที่ยวได้โดยไม่ต้องมาด้วย”

ดันแก้ปัญหาภาษีซ้ำซ้อน

นอกจากนี้ หนุ่มสาวทัวร์ยังวางแผนที่จะขับเคลื่อนประเด็นการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับทัวร์ต่างประเทศซ้ำซ้อนที่เป็นปัญหามาโดยตลอด เพื่อลดภาระให้กับผู้บริโภคและช่วยผู้ประกอบการในการลดการจ่ายภาษีรวมถึงสร้างสมดุลระหว่างภาษีขายและภาษีซื้อของผู้ประกอบการให้เกิดขึ้นได้จริง เหมือนกับในหลาย ๆ ประเทศที่ปรับโครงสร้างภาษีให้สอดคล้องกับนโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยวด้วย

หวังก้าวสู่ผู้นำท่องเที่ยวอาเซียน

“โชตช่วง” ยังให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมถึงแผนระยะยาวด้วยว่า แม้หลายคนจะแนะนำให้หันมาจับการใช้เทคโนโลยีมากยิ่งขึ้น แต่หลังการทดลองระยะหนึ่งแล้ว บริษัทพบว่าผู้ใช้บริการทัวร์ต้องการความสะดวกสบายในการใช้บริการมากกว่าการลงมือทำด้วยตัวเอง บริษัทจึงเน้นการให้บริการแบบ full service มากขึ้น ให้ผู้บริโภคจ่ายเงินอย่างเดียว แต่คุ้มค่าและครอบคลุมทุกความสะดวกสบาย พร้อมทั้งขยับขยายบริษัทตามเทรนด์ของผู้บริโภค

นอกจากนั้นยังเตรียมขยายการให้บริการสู่กลุ่มประเทศเพื่อนบ้านใน CLMV อย่างกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ตามวิสัยทัศน์ที่มุ่งจะเป็นผู้นำด้านการท่องเที่ยวระดับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมสามารถให้บริการด้านการท่องเที่ยวแบบ one stop service ในจุดเดียวเพราะปัจจุบันนอกจาก “หนุ่มสาวทัวร์” ซึ่งให้บริการจัดและจำหน่ายแพ็กเกจทัวร์แก่ผู้บริโภคแล้ว ครอบครัว “ศูรางกูร” ยังมีบริษัทผู้ให้บริการทางด้านการท่องเที่ยวอีกหลากหลาย รวมถึงธุรกิจโรงแรมภายใต้แบรนด์เซเรนาต้า โฮเทลส์ แอนด์ รีสอร์ท กรุ๊ป ที่ปัจจุบันมีโรงแรมในเครือถึง 20 แห่ง ใน