“เซ็นทารา” เขย่าพอร์ต รีวิว “แผนลงทุน” บาลานซ์ความเสี่ยง

ประกาศแผนลงทุนและทิศทางธุรกิจ 5 ปี (2561-2565) ภายใต้งบฯลงทุนราว 2.7 หมื่นล้านบาท ไปตั้งแต่ปลายปี 2561 ที่ผ่านมา พร้อมตั้งเป้ามีโรงแรมและรีสอร์ตในเครือ 130 โรงแรม จากปัจจุบันที่มีอยู่แล้วรวมทั้งสิ้น 76 แห่งทั่วโลก ประกอบด้วย ไทย, มัลดีฟส์, ศรีลังกา, เวียดนาม, ลาว, เมียนมา,จีน, โอมาน, กาตาร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

สำหรับปี 2562 นี้เป็นปีที่มีปัจจัยต่าง ๆ ทั้งปัจจัยลบและปัจจัยบวกเข้ามารุมเร้าต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2561 ทั้งสภาพเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจภายในประเทศ รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ฯลฯ ทำให้ “กลุ่มเซ็นทารา” ต้องรีวิวแผนธุรกิจกันใหม่อีกรอบ

รีวิวแผนลงทุน 5 ปีใหม่

“ธีระยุทธ จิราธิวัฒน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงแรมและรีสอร์ตในเครือเซ็นทารา ให้สัมภาษณ์ล่าสุดว่า จากปัจจัยต่าง ๆ ที่เข้ามาและส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่องต่อการดำเนินงานและแผนการลงทุนสำหรับปี 2562 นี้ บริษัทจึงอยู่ระหว่างการทบทวนแผนการลงทุนและทิศทางของธุรกิจใหม่อีกครั้ง คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในอีก 1-2 เดือนนี้ โดยอาจจะขยายแผนเดิมให้ยาวออกไปอีก 1-2 ปี

ทั้งนี้ เพื่อประเมินแผนให้ละเอียดอีกครั้ง โดยเฉพาะด้านการกระจายพอร์ตและบาลานซ์ความเสี่ยงทางธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น โดยจะยังคงให้น้ำหนักกับการลงทุนในพอร์ตต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ทั้งในรูปแบบการรับบริหาร และร่วมลงทุนกับผู้ประกอบการในแต่ละประเทศเพิ่มพอร์ตรายได้ต่างประเทศพร้อมทั้งปรับสัดส่วนรายได้ระหว่างรายได้ในประเทศกับต่างประเทศตามแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี ให้เป็น 60 : 40 จากปี 2561 ที่ผ่านมา กลุ่มเซ็นทารามีสัดส่วนรายได้หลักจากตลาดในประเทศถึง 80% และต่างประเทศ 20% ซึ่งเป็นรายได้จากโรงแรมในมัลดีฟส์ จำนวน 2 แห่งเท่านั้น

โดยที่ผ่านมา “กลุ่มเซ็นทารา” ได้ประกาศลงทุนในหลาย ๆ ประเทศไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็น มัลดีฟส์, ตะวันออกกลาง, กลุ่มประเทศในมหาสมุทรอินเดีย รวมถึงประเทศในกลุ่มเออีซี อาทิ เมืองโดฮา ประเทศกาตาร์, เวียดนาม เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีแผนลงทุนประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท ร่วมทุนเปิดโรงแรมในกรุงดูไบ สาธารณรัฐยูเออี 1 แห่ง รวมถึงที่มีแผนเปิดโรงแรมใหม่เพิ่มที่มัลดีฟส์ อีก 3 แห่ง (เปิดไปแล้ว 2 แห่ง)

ผนึกทุนญี่ปุ่นปักธง “โอซากา”

และล่าสุด “กลุ่มเซ็นทารา” ได้ตั้งบริษัท เซ็นทารา เจแปน จำกัด ขึ้นมาสำหรับลงทุนพัฒนาและบริหารโรงแรมในญี่ปุ่น ซึ่งล่าสุดได้ลงนามสัญญาร่วมทุนกับ 2 บริษัทก่อสร้างและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเทศญี่ปุ่น ได้แก่ บริษัท ไทเซอิ คอร์ปอเรชั่น (Taisei Corporation” และบริษัท คันเดน เรียลตี้ แอนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ (Kanden Realty & Development) พัฒนาโรงแรม

เซ็นทารา แกรนด์ โอซากา มูลค่าลงทุนกว่า 10,000 ล้านบาท ย่านนัมบะ ศูนย์กลางการท่องเที่ยวของเมืองโอซากา และภูมิภาคคันไซ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการต้อนรับนักท่องเที่ยวได้ในกลางปี 2566
โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ โอซากาโรงแรม 5 ดาว ความสูง 34 ชั้น ขนาด 515 ห้องพัก ประกอบไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ สปาเซ็นวารี ห้องออกกำลังกาย ห้องอาหาร และห้องจัดเลี้ยงสำหรับการจัดงานอีเวนต์และสัมมนาประเภทต่าง ๆ

“การบุกตลาดญี่ปุ่นเป็นกลยุทธ์การขยายธุรกิจของเซ็นทาราในระยะยาว การร่วมทุนครั้งนี้ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญและเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จ เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางไปเที่ยวราว 31 ล้านคน ในปี 2561 ที่ผ่านมา ที่สำคัญมีคนไทยเดินทางไปเที่ยวถึง 1.1 ล้านคนในปีที่ผ่านมา และยังมีแนวโน้มเติบโตในทิศทางที่ดีต่อเนื่อง”

ไล่รีโนเวตโรงแรมในประเทศ

ไม่แต่จะบุกหนักตลาดต่างประเทศเท่านั้น กลุ่มเซ็นทารายังทุ่มลงทุนรีโนเวตโรงแรมในประเทศอีกหลายแห่ง พร้อมทั้งเพิ่มแบรนด์โรงแรมใหม่ “เซ็นทารารีเสิร์ฟ” หรือ Centara Reserve ซึ่งเป็นเซ็กเมนต์ที่เหนือกว่าระดับลักเซอรี่ หรือสูงกว่าแบรนด์ “เซ็นทารา แกรนด์”โดยลงทุนอีกราว 1,100 ล้านบาท รีโนเวตโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์บีช รีสอร์ตสมุย เป็นแบรนด์ใหม่นี้ คาดว่าน่าจะเปิดให้บริการในครึ่งปีหลังของปี 2563

ทั้งนี้ เพื่อรองรับกำลังซื้อนักท่องเที่ยวในกลุ่มไฮเอนด์ เนื่องจากโลเกชั่นของเกาะสมุย สุราษฎร์ธานี เป็นตลาดที่มีความยูนีค เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการความหรูหรา มีเอกลักษณ์ และความเป็นส่วนตัว เป็นต้น

ปี”62 ตัวเลขรวมไม่ขยับ

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงแรมและรีสอร์ตในเครือเซ็นทารา ยังบอกด้วยว่า สำหรับภาพรวมของปี 2562 นี้ คาดว่าไม่น่าจะดีนัก โดยตัวเลขรวมในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ขณะที่ไตรมาสสุดท้ายปีนี้ คาดว่าน่าจะขยับดีขึ้นเล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าหากมองภาพรวมทั้งปีแล้ว ปี 2562 นี้ ตัวเลขรวมในหลาย ๆ ส่วนน่าจะต่ำกว่าปีที่ผ่านมา ทั้งรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก รวมถึงอัตราการเข้าพักเฉลี่ยที่คาดว่าตลอดทั้งปีนี้น่าจะอยู่ที่ราว 80% ต่ำกว่าปีที่ผ่านมาที่มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยที่ 82-83%