“ดุสิตธานี” เดินหน้าตอบโจทย์ สร้างสมดุล-ขยายฐาน-กระจายเสี่ยง

นับตั้งแต่ปี 2559 ที่ผ่านมา ถือเป็นช่วงเวลาที่กลุ่ม “ดุสิตธานี”มีความพยายามในการขยับโมเดลการทำธุรกิจทั้งกลุ่มด้วยการขยายฐานไปสู่ธุรกิจใหม่ โดยเฉพาะธุรกิจด้านอาหาร จากเดิมที่มีสัดส่วนรายได้มาจากกลุ่มธุรกิจโรงแรม 80-90% ที่เหลืออีกกว่า 10% มาจากธุรกิจการศึกษาและอื่น ๆ

เดินหน้าโมเดลธุรกิจใหม่

“ศุภจี สุธรรมพันธุ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ให้ข้อมูลว่า ตามแผนยุทธศาสตร์ระยะยาวของกลุ่ม “ดุสิตธานี”ในช่วงปี 2559-2568 ที่กำหนดไว้ ได้แบ่งแผนการดำเนินงานรวมไว้เป็น 3 ช่วงหลัก ประกอบด้วย ปี 2559-2561 เป็นช่วงเสริมสร้างรากฐานให้แข็งแกร่ง ด้วยการวางทิศทางและกลยุทธ์เพื่อการเติบโต และสร้างรากฐานให้แข็งแกร่ง

ปี 2562-2564 เป็นช่วงรับรู้ศักยภาพในการเติบโต ซึ่งโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ แห่งใหม่แล้วเสร็จ รวมถึงการเพิ่มจำนวนห้องพักขึ้นกว่าเท่าตัว และปี 2565-2568 เป็นช่วงปลดล็อกการสร้างมูลค่า โดยในช่วงนั้นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รูปแบบผสมผสานจะเสร็จสมบูรณ์ทั้งโครงการ และมีการรับรู้รายได้จากธุรกิจใหม่ ที่สำคัญ ธุรกิจจะมีความสมดุลของสัดส่วนรายได้ทั้งจากในประเทศและต่างประเทศที่ชัดเจนตามแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวจะดำเนินงานตามกลยุทธ์และเป้าหมาย 3 ด้านหลัก ได้แก่ สร้างความสมดุล, สร้างความเติบโต และกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ

สร้างสมดุล-กระจายความเสี่ยง

โดยในส่วนของการสร้างความสมดุล จะมุ่งสร้างและขยายแบรนด์โรงแรมให้เป็นที่จดจำทั่วโลก รวมถึงสร้างสมดุลของแหล่งที่มาของรายได้ในประเทศและต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายมีโรงแรมเปิดให้บริการเพิ่มอีกประมาณ 60 แห่ง ภายใน 3-5 ปีข้างหน้าในกว่า 25 ประเทศ หรือมีจำนวนห้องพักรวมทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 20,000 ห้อง จากปัจจุบันที่มีอยู่กว่า 8,500 ห้องพัก

ด้านการสร้างการเติบโตนั้น “ศุภจี” บอกว่า จะมีเรื่องของการขยายฐานการลงทุนโรงแรมใหม่ แบรนด์ใหม่ และโอกาสใหม่ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายในทุกเซ็กเมนต์ ยกตัวอย่าง เช่น การเปิดตัวโรงแรม “ASAI” หรืออาศัยแบรนด์โรงแรมใหม่ที่รองรับกลุ่มมิลเลนเนียล ซึ่งปัจจุบันมีแผนเปิดในประเทศไทย, ญี่ปุ่น, เมียนมา และฟิลิปปินส์ หรือการเข้าไปซื้อกิจการ “อีลิท เฮเวนส์”ผู้ให้บริการให้เช่าวิลล่าหรูระดับบนของภูมิภาคเอเชีย

รวมถึงการขยายฐานธุรกิจเข้าสู่ธุรกิจอาหาร ภายใต้บริษัท “ดุสิต ฟู้ดส์”ด้วยการเข้าไปลงทุนใน “เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์” หรือ NRIP ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องปรุงรสต่าง ๆ รวมถึงการเข้าลงทุนใน “เอ็บเพอคิวร์ แคเทอริ่ง” ซึ่งเป็นผู้นำการให้บริการผลิตอาหารแคเทอริ่งให้กับโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทย และมีแผนขยายไปในประเทศเวียดนามหรือลงทุนในธุรกิจอาหารสุขภาพ ภายใต้ “ดุสิต เรียล ฟู้ดส์” หรือ DRF ที่มีแผนเปิดให้บริการอาหารเพื่อสุขภาพในศูนย์ออกกำลังกายของเวอร์จิ้น ฟิตเนส,ร้านดุสิต กูร์เมต์ และในโรงแรมของกลุ่มดุสิตธานี รวมถึงผลิตและจำหน่ายในช่องทางรีเทล และช่องทางดีลิเวอรี่

ส่วนการกระจายความเสี่ยง คือ การขยายการลงทุนในธุรกิจที่หลากหลาย ทั้งในธุรกิจอาหาร, การศึกษา และพร็อพเพอร์ตี้ โดยมีเป้าหมายมีสัดส่วนรายได้โรงแรมอยู่ที่ 70% ในปี 2021 จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 88-90%

ต่อยอดแบรนด์-สร้างธุรกิจใหม่

นอกจากนี้ ในช่วงระหว่างที่โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ ยุติการให้บริการ (ส่วนหนึ่งของโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค) บริษัทได้ตั้งธุรกิจใหม่ 5 ส่วนหลักได้แก่ 1.เปิดร้านอาหารสแตนด์อะโลนแห่งแรก ภายใต้ชื่อ “บ้านดุสิตธานี” ในซอยศาลาแดง (ถนนสีลม) ซึ่งประกอบด้วยเบญจรงค์ (ร้านอาหารไทย), เธียนดอง (ร้านอาหารเวียดนาม), ดุสิต กูร์เมต์ (ร้านเบเกอรี่และกาแฟ), ศาลาเต้นรำ สำหรับรองรับการจัดเลี้ยง-อีเวนต์ และบาร์ริมสระว่ายน้ำ หรือพูลบาร์ สำหรับการสังสรรค์ยามค่ำคืน

2.ลงทุนซื้อโรงแรมดุสิต สวีท โฮเทล ราชดำริ โรงแรมแห่งแรกในเครือที่ห้องพักทุกห้องเป็นห้องสวีตทั้งหมด

3.ตั้งทีมดุสิต ออน ดีมานด์ ให้บริการทีมงานแผนกแม่บ้าน, ช่าง ให้กับโรงแรม 5 ดาว

4.ทีมงานทำอีเวนต์และงานจัดเลี้ยง และทีม preopening บริการให้คำปรึกษาสำหรับผู้ประกอบการโรงแรมตั้งแต่ก่อนเปิดให้บริการ รวมถึงรับบริหารภายใต้แบรนด์ของเจ้าของบริการเหล่านี้ล้วนเป็นธุรกิจใหม่ ทางบริษัทต้องการรักษาแบรนด์และรักษาบุคลากรเดิมเอาไว้ ไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะเป็นธุรกิจใหม่ที่สร้างรายได้มากมายนัก

เผยโฉมใหม่ดุสิตธานีปี”65

สำหรับโครงการ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” มูลค่า 3.6 หมื่นล้านบาทนั้น “ศุภจี” บอกว่า ทุกอย่างเป็นไปตามไทม์ไลน์เดิมโดยในส่วนโรงแรมจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566

สำหรับโครงการเรซิเดนซ์ซึ่งมี 2 แบรนด์ คือ ดุสิต เรสซิเดนเซส และดุสิต พาร์คไซด์นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการทำแผนการขาย คาดว่าโอนส่งมอบให้ลูกค้าได้ทั้งหมดในช่วงไตรมาสแรก ปี 2567 เช่นเดียวกับโซนอาคารสำนักงาน ที่อยู่ระหว่างการวางแผนการขายเช่นกัน

“ศุภจี” ย้ำว่า เมื่อสิ้นสุดแผนยุทธศาสตร์ระยะยาวปี 2559-2568 โครงสร้างธุรกิจของกลุ่ม “ดุสิตธานี” จะเปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างสิ้นเชิง และจะตอบโจทย์เป้าหมายในด้านการสร้างความสมดุล สร้างความเติบโต และกระจายความเสี่ยงได้อย่างชัดเจน…