“เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท” ผนึกกลุ่มทุนเมียนมาทุ่มกว่า 1.6 พันล้านปักหมุดวิลล่าหรู โรงแรมแห่งที่ 3 บนเกาะมัลดีฟส์ เผยเตรียมดึงโฮลเซลช่วยปลุก “ทราย มัลดีฟส์ ลากูน-ฮาร์ดร็อค โฮเทล” ที่เปิดตัวหนุนรายได้-กำไรปี”63
นายชัยรัตน์ ศิวะพรพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท (SHR) ในเครือสิงห์ เอสเตทเปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานสำหรับปี 2562 ว่า บริษัทมีแผนลงทุนร่วมกับบริษัท อีโค เวิลด์ เดเวลอปเปอร์ (Eco World Developer : EWD) บริษัทสัญชาติเมียนมาในนามบริษัท นิว มัลดีฟส์ ที่ถือหุ้นอยู่กลุ่มละ 50% ก่อสร้างโรงแรมบนเกาะแห่งที่ 3 ด้วยงบฯลงทุนกว่า 56 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1,694 ล้านบาท
โดยโครงการดังกล่าวนี้ประกอบด้วย วิลล่าระดับบนจำนวน 80 หลัง ขนาดประมาณ 120-320 ตารางเมตร อัตราค่าห้องพักต่อคืนประมาณ 900-1,000 เหรียญสหรัฐ ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในปี 2565
นายชัยรัตน์กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีโรงแรมในเครือทั้งหมด 39 แห่งใน 5 ประเทศทั่วโลก โดยมีพอร์ตการลงทุนกระจายตัวอยู่ใน 7 แบรนด์หลัก และ 3 ประเภทการลงทุน ได้แก่
1.โรงแรมที่มีบุคคลที่สามช่วยบริหารจัดการ มีสัดส่วนรายได้กว่า 68% ภายใต้แบรนด์เอาทริกเกอร์ (Outrigger)
2.โรงแรมที่บริหารจัดการด้วยตนเอง มีสัดส่วนรายได้กว่า 29% อาทิ แบรนด์พีพี ไอซ์แลนด์ วิลเลจ และสันติบุรี
3.โรงแรมที่บริหารจัดการเองโดยมีข้อตกลงแฟรนไชส์ ขณะนี้มีสัดส่วนรายได้ประมาณ 3% อาทิ แบรนด์ทราย มัลดีฟส์ ลากูน คูลิโอ คอลเลคชั่น บาย ฮิลตัน (SAii Maldives Lagoon, CurioCollection by Hilton) และฮาร์ดร็อค โฮเทล (Hardrock Hotel) ซึ่งอยู่บนเกาะที่ 1 และ 2 จากสัมปทาน 3 เกาะ ซึ่งเปิดให้บริการไปเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา
โดยมีโครงการ “ครอสโรดส์” (Crossroads) มัลดีฟส์ เป็นโครงการเรือธงของเครือ เนื่องจาก “เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท” ได้รับสัมปทานเกาะใกล้ท่าอากาศยานมาเลย์ มัลดีฟส์ โครงการดังกล่าวจึงถูกวางตำแหน่งให้เป็น “จุดหมายปลายทางที่มีไลฟ์สไตล์ผสมผสาน” ที่มี “เดอะ มารีนา แอด ครอสโรดส์” เป็นแหล่งรวมไลฟ์ไตล์และความบันเทิง รวมถึงศูนย์ประชุมเข้าไว้ด้วยกัน และมีทราย มัลดีฟส์ ลากูน คูลิโอ คอลเลคชั่น บาย ฮิลตัน และฮาร์ดร็อคโฮเทล เป็น 2 โรงแรมต่างสไตล์ ทำหน้าที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ ๆ ด้วยราคาค่าห้องพักที่เข้าถึงง่าย
“หลังจากที่โรงแรมทั้ง 2 แห่งของเราเปิดให้บริการตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา ยังขายผ่านช่องทางออนไลน์เท่านั้น ทำให้มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยราว 30% และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 40% ได้ในช่วงปลายปีนี้” นายชัยรัตน์กล่าวและว่าอย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 1 ปีหน้าบริษัทมีแผนขายผ่านโฮลเซลซึ่งเป็นช่องทางหลักของสินค้าท่องเที่ยวในหมู่นักท่องเที่ยวยุโรปที่เป็นนักท่องเที่ยวหลักของภูมิภาคมัลดีฟส์ ทำให้คาดว่าจะมีอัตราการเข้าพักได้ที่ 50-60% และทำให้รายได้จากทั้ง 2 โรงแรมมีสัดส่วน 30-40% ของรายได้รวม
นายชัยรัตน์ยังกล่าวด้วยว่า อีกปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้ตลาดมัลดีฟส์เติบโตได้เพิ่มมากขึ้นคือ ในปี 2563 นี้ ท่าอากาศยานมาเลย์ของมัลดีฟส์กำลังจะเปิดให้บริการรันเวย์ที่ 2 ซึ่งจะทำให้สนามบินมีศักยภาพในการรองรับที่เพิ่มมากขึ้น จึงคาดว่าจะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวในมัลดีฟส์เติบโตอย่างก้าวกระโดดจาก 1.6 ล้านคนในปี 2562 ไปเป็น 2 ล้านคนในปี 2563 และยังมีโอกาสขยายการรองรับไปถึง 4 ล้านคน เมื่อเทอร์มินอลสำหรับรันเวย์ที่ 2 สร้างเสร็จในอนาคต โดยการขยายสนามบินนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามขยายการรองรับนักท่องเที่ยวให้หลากหลายมากขึ้นของรัฐบาล
นอกจากนี้ ยังเชื่อว่าอานิสงส์จากโครงการครอสโรดส์จะทำให้รายได้ของบริษัทเติบโตปีละไม่ต่ำกว่า 60% และเมื่อรวมกับผลของการนำรายได้จากการขายหุ้น IPO กว่า 5,358 ล้านไปชำระหนี้ธนาคาร เพื่อสร้างสภาพคล่องและเพิ่มโอกาสการลงทุน จะทำให้บริษัทพลิกกลับมามีกำไรสุทธิได้ในปี 2563 หลังจากปีนี้ยังคงติดลบทางบัญชีประมาณ 299 ล้านบาท