AWC ทุ่มกว่า 3 หมื่น ล. ปั้น “มิกซ์ยูส” ระดับโลก ริมเจ้าพระยาชนไอคอนสยาม

ความร้อนระอุริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นทุกขณะ นับตั้งแต่ที่ “ไอคอนสยาม” ได้แจ้งเกิดขึ้นบนพื้นที่ 50 ไร่ บริเวณซอยเจริญนคร 5 และล่าสุดกำลังจะมี “มิกซ์ยูส” แห่งใหม่ภายใต้การพัฒนาของ “แอสเสทเวิรด์ คอร์ป” ที่อยู่ในการดูแลของหนึ่งในทายาท เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ซึ่งยืนยันแน่นอนแล้วว่าจะยกระดับโครงการ “เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์” พร้อมขยายการลงทุนให้ครอบคลุมพื้นที่กว่า 100 ไร่

“วัลลภา ไตรโสรัส” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เล่าว่า หลังจากโครงการ “เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์” ซึ่งเป็นศูนย์การค้าแนวราบริมแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2555 ปัจจุบัน AWC พร้อมที่จะขยายพื้นที่และพัฒนาโครงการสู่มิกซ์ยูสที่จะเป็น “จุดหมายปลายทางระดับโลก” บนพื้นที่กว่า 100 ไร่ ด้วยงบประมาณไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท

โดยมีแผนจะปรับพื้นที่กว่า 100 ไร่ โดยแบ่งส่วนสำคัญออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่ 1.พื้นที่เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์เดิมนั้นจะมีการต่อเติมและปรับพื้นที่เล็กน้อย โดยการเติมหลังคาและปรับช่องลม-แดดให้เปิดบริการได้ตลอดทั้งวันจากที่เปิดให้บริการเพียงช่วงเย็น

2.พื้นที่บริเวณโกดังเก่า 100,000 ตารางเมตร ตั้งใจปรับสภาพพื้นที่ให้กลายเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์สำหรับร้านค้า สวนสนุก (fun park) และพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ พร้อมทั้งจะมีการย้าย “เอเชียทีค สกาย” หรือชิงช้าสวรรค์จากพื้นที่เดิมมาไว้ในบริเวณนี้ด้วยเช่นเดียวกัน โดยคาดว่าพื้นที่นี้จะเสร็จเป็นพื้นที่แรก เนื่องจากใช้ระยะเวลาก่อสร้างไม่เกินกว่า 3 ปีนับจากนี้

3.พื้นที่ลานจอดรถปัจจุบัน บริเวณนี้จะเป็นส่วนสำคัญที่สุด ซึ่งได้จับมือทำข้อตกลงกับเอเดรียน สมิท แอนด์ กอร์ดอน กิลล์ อาร์ชิเทกเจอร์ (Adrin Smith+Gordon Gill Architecture : AS+GG) สตูดิโอผู้เชี่ยวชาญการออกแบบตึกสูงระดับโลกที่เคยออกแบบผลงานที่เป็นไอคอนิกของเมืองต่าง ๆ อาทิ เซ็นทรัล พาร์ค นิวยอร์ก, เจดดาห์ ทาวเวอร์ ซาอุดีอาระเบีย, อัล วาสล์ พลาซ่า ดูไบ, เบิร์จ คาลิฟา ดูไบ และจินเหมา ทาวเวอร์ เซี่ยงไฮ้

โดยตึกที่ AS+GG ออกแบบทุกแห่งล้วนเป็นสถาปัตยกรรมยุคใหม่ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองและแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ครองแชมป์ตึกที่สูงที่สุดในโลกปัจจุบันและในอนาคต พร้อมทั้งมีหลายแห่งที่ใช้รองรับงานระดับโลกหลากหลาย รวมถึงแต่ละแห่งยังช่วยยกระดับเศรษฐกิจบริเวณโดยรอบอย่างมหาศาล

เช่นเดียวกับที่เมกะโปรเจ็กต์ ณ เอเชียทีคนี้ ได้ถูกวางรูปแบบไว้เป็นตึกสูงกว่า 100 ชั้น ซึ่งอาจจะกลายเป็นตึกที่สูงที่สุดแห่งใหม่ของประเทศไทย โดยภายในตึกจะประกอบด้วยพื้นที่โรงแรม 5 ดาว1 แห่ง, โรงแรม 6 ดาว 1 แห่ง, แบรนด์ เรสซิเดนซ์ (Branded Residence) 1 แห่งประกอบด้วยพื้นที่รีเทลและพื้นที่พาณิชย์ขนาดใหญ่ และจุดชมวิวระดับไอคอนิกที่ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมยุคใหม่และเอกลักษณ์ของความเป็นไทยบนพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยโรงแรม 5 ดาวยืนยันแน่นอนแล้วว่าจะถูกบริหารงานภายใต้แบรนด์แมริออท

ส่วนโรงแรม 6 ดาว และแบรนด์เรซิเดนซ์คาดว่าจะบริหารงานโดยแบรนด์เครือข่ายของแมริออทแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง ทั้งนี้ คาดว่าจะใช้เวลาไม่น้อยกว่า 5 ปีจึงจะแล้วเสร็จ

และ 4.พื้นที่ฝั่งตรงข้ามถนนของโครงการเอเชียทีคฯ ขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการวางแผนเพื่อพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของพื้นที่

นอกจากนั้น ยังต้องมีการศึกษาระบบการคมนาคมขนส่งบริเวณรอบข้างทั้งทางน้ำและทางบก เพื่อให้สามารถรองรับกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่อาจจะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าด้วย อาทิ แผนขยายท่าเรือสำหรับรองรับนักท่องเที่ยว, แผนการศึกษาการตัดถนนเชื่อมต่อกับถนนเจริญราษฎร์ เพื่อลดภาวะการจราจรติดขัดที่อาจจะเกิดจากการสัญจรบนถนนขนาดเล็ก เป็นต้น

นับเป็นโครงการพัฒนามิกซ์ยูสที่เกิดขึ้นจากความตั้งใจที่จะสร้างจุดหมายปลายทางระดับโลกแห่งใหม่ของไทย เพื่อส่งมอบคุณค่าสู่เจเนอเรชั่นต่อไป พร้อมทั้งมีเป้าหมายที่จะพัฒนาคุณค่าของพื้นที่ที่มีอยู่ให้มีศักยภาพสูงสุด และเชื่อว่าโครงการเมกะโปรเจ็กต์แห่งนี้จะเป็นอีกหนึ่งโครงการที่จะมอบอนาคตที่ดีกว่าให้กับประเทศไทย ผ่านการช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย และกลายเป็นไอคอนิกสำคัญอีกแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯที่จะอยู่กับเมืองไทยไปอย่างยาวนานหลายยุคสมัย