‘อุตฯการบิน-ท่องเที่ยว’อ่วม พ่ายพิษโควิด/มาตรการรัฐทุบซ้ำดับสนิท

อุตฯแอร์ไลน์-ท่องเที่ยวกระอักหนัก ! วงในเผย “การบินไทย-ไทยแอร์เอเชีย-ไทยสมายล์” ยังทยอยประกาศลดเส้นทางบินต่อเนื่อง ชี้มาตรการคุมเข้ม กพท.-ประกาศยกเลิกวีซ่า-VOA ยกแผงทุบซ้ำ ชี้เครื่องบินทยอยจอดนิ่งสนิทเต็มลานจอด ซ้ำรอยรถบัสนำเที่ยวแล้ว ฟาก ททท.เชื่อเอกชนท่องเที่ยวเข้าใจสถานการณ์ ขณะที่ สทท.หวั่นหลังการแพร่ระบาดยุติ ก.ต่างประเทศจะยังคงฟรีวีซ่า-VOA ตามเดิมหรือไม่

แหล่งข่าวในธุรกิจสายการบินรายหนึ่งกล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วไปกว่า 100 ประเทศทั่วโลกของไวรัสโควิด-19 ทำให้รัฐบาลของประเทศต่าง ๆ รวมถึงประเทศไทยประกาศห้ามและเตือนประชาชนของตัวเองให้งดการเดินทางท่องเที่ยวไปในกลุ่มประเทศที่เสี่ยงและมีการแพร่ระบาด และในบางประเทศยังได้ประกาศปิดประเทศห้ามคนเดินทางเข้า-ออก เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสอย่างเด็ดขาด นโยบายต่าง ๆ ล้วนส่งผลกระทบโดยตรงกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมการบินทั่วโลก

“แอร์ไลน์” ปรับตัวรับมือ

โดยจะพบว่าสายการบินต่าง ๆ ประกาศลดจำนวนเที่ยวบิน เสนอโครงการสมัครใจลาออก หรือสมัครใจลาชั่วคราวโดยไม่รับเงินเดือน ปรับลดเงินเดือนพนักงาน รวมถึงปลดระวางเครื่องบินที่มีอายุการใช้งานมากแล้วออกไป เพื่อลดต้นทุนการบริหารจัดการในภาวะวิกฤต อาทิ ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ส ที่ได้ประกาศลดต้นทุนครั้งใหญ่ด้วยการปรับลดค่าใช้จ่ายและระดมทุนเพิ่มอีก 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 64,000 ล้านบาท เพื่อรับมือกับสถานการณ์โควิดที่รุนแรงในโซนอเมริกาเหนือและยุโรป 

หรือกรณีของไรอันแอร์ (โลว์คอสต์รายใหญ่ในยุโรป) ที่ลดเที่ยวบินเกือบทั้งหมดที่บินเข้าออกอิตาลี หรือแควนตัส แอร์เวย์ส ที่ลดเที่ยวบินระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่องในช่วง 6 เดือนข้างหน้า พร้อมชะลอรับเครื่องบินแอร์บัส A350 ลำใหม่ ผู้บริหารไม่รับเงินเดือน พร้อมทั้งเปิดให้พนักงานสมัครใจลาออก หรือลาหยุดแบบไม่รับรายได้ เป็นต้น  

“อุตฯการบิน-ท่องเที่ยว” อ่วม

แหล่งข่าวกล่าวด้วยว่า สำหรับประเทศไทยนั้นล่าสุดพบว่า ผู้ประกอบการรายใหญ่ทั้งสายการบินไทย, ไทยแอร์เอเชีย และไทยสมายล์ ได้ทยอยประกาศลดจำนวนเที่ยวบินลงอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ที่ประเทศจีนประกาศปิดการเข้าออกในบางเมือง กระทั่งปัจจุบันล่าสุดเริ่มเห็นมีเครื่องบินจอดนิ่งสนิทบางส่วนแล้วเช่นกัน เนื่องจากผลกระทบจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดไวรัสโควิดของรัฐบาล 

สอดคล้องกับแหล่งข่าวในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวรายหนึ่งที่กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ประเด็นปัญหาที่ส่งผลกระทบอย่างหนักต่ออุตสาหกรรมการบินและการท่องเที่ยวของไทยอย่างหนักในช่วงนี้ คือ ประกาศของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ที่ได้ออกประกาศเมื่อ 8 มีนาคม 2563 ที่ระบุว่า ผู้โดยสารบินมาจากพื้นที่ระบาดโควิด-19 ให้โดนกักกัน ตามมาตรการรัฐบาลที่กำหนด และผู้โดยสารจากท้องถิ่นเขตโรคติดต่อต้องมีใบรับรองแพทย์ยืนยันว่าไม่มีความเสี่ยงโควิด-19 จึงขอ
ออกบัตรโดยสารได้

“มาตรการรัฐ” ทุบซ้ำ

นอกจากนี้ยังกำหนดให้ผู้ที่จะเดินทางต้องมีประกันโควิดมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1 แสนเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3 ล้านบาทไปแสดงก่อนออกบัตรโดยสารด้วย รวมถึงประกาศยกเลิกฟรีวีซ่าฮ่องกง เกาหลีใต้ และอิตาลี รวมทั้งวีซ่าหน้าด่านหรือ VOA อีก 18 ประเทศ ซึ่งในจำนวนนี้ตลาดใหญ่ของภาคการท่องเที่ยวของไทย คือ จีน, อินเดีย และรัสเซีย

“ประกาศต่าง ๆ ที่ออกมาจากภาครัฐนั้นไม่ได้บอกกล่าวกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องล่วงหน้าเลย เป็นประกาศเร่งด่วนแบบประกาศวันนี้ บังคับใช้วันรุ่งขึ้น ทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา โดยเฉพาะในส่วนของธุรกิจสายการบินที่ชะงักหมด เนื่องจากผู้โดยสารต่างชาติไม่ได้รับข้อมูลล่วงหน้า ตอนนี้ทุกสายการบินประกาศหยุดบินกันยาวไปถึงสิ้นเดือนมีนาคมนี้แล้ว” แหล่งข่าวกล่าว

และว่า มาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลประกาศออกมาล้วนเป็นแนวคิดที่ดีที่ต้องการหยุดการแพร่ระบาดของไวรัส แต่ก็ส่งผลกระทบต่อธุรกิจอย่างหนัก โดยเฉพาะธุรกิจสายการบิน ซึ่งคาดการณ์กันว่านับจากนี้เป็นต้นไปจะมีเครื่องบินของสายการบินต่าง ๆ จอดนิ่งสนิทอยู่ที่สนามบินเช่นเดียวกับรถบัสนำเที่ยวที่จอดสนิทไปแล้วนับหมื่น ๆ คัน

ปิดประตูการแพร่ระบาดไวรัส

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า สาเหตุที่ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องประกาศยกเลิกการให้วีซ่า ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง (visa on arrival) 18 ประเทศ และยกเลิกฟรีวีซ่า (free visa) ของนักท่องเที่ยวจากอิตาลี เกาหลีใต้ และฮ่องกงชั่วคราว เนื่องจากต้องการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะเข้ามาจากภายนอกประเทศ เพิ่มโอกาสในการคัดกรองที่เข้มงวด และตัดตอนความเสี่ยงที่จะเกิดการแพร่ระบาดใหญ่ในไทย

โดยเชื่อว่าการตัดสินใจนี้จะช่วยลดโอกาสบานปลายของสถานการณ์การแพร่ระบาด ดูแลให้คนไทยห่างไกลจากการติดเชื้อ รักษาประเทศไทยให้เป็นพื้นที่สะอาดและเหมาะสมกับการเดินทางกลับมาท่องเที่ยวในอนาคต เมื่อไรที่สถานการณ์การแพร่ระบาดสิ้นสุดและนักท่องเที่ยวพร้อมเดินทางจะได้เลือกประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางในอนาคต สำหรับผู้ประกอบการก็อาจจะเป็นช่วงเวลาที่ต้องอดทนเพื่อข้ามผ่านไปสู่โอกาสในอนาคต

เชื่อผู้ประกอบการโอเค

ด้านนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า การประกาศยกเลิกวีซ่าในกรณีดังกล่าวของไทยไม่น่าจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวมากกว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่มากนัก เพราะในหลายประเทศก็เริ่มมีการประกาศขอให้หลีกเลี่ยงการเดินทางมาประเทศไทย หรือให้ประชาชนกักตัวอย่างน้อย 14 วัน หากเดินทางมาไทยแล้ว ทำให้ทั้งนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวต่างชาติก็เริ่มหลีกเลี่ยงการเดินทางแล้วเช่นกัน

สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวของไทยก็เข้าใจและให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ไม่ได้มีความไม่พอใจแต่อย่างใด เพียงแต่ผู้ประกอบการส่วนมากอยากจะให้ความสำคัญกับการแจ้งล่วงหน้ามากยิ่งขึ้น เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถปรับแผนและแนะนำลูกค้าได้อย่างทันท่วงที

“ในช่วงนี้เราจำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญกับสุขอนามัยและความปลอดภัยของคนไทยก่อน อย่างไรก็อยู่ในช่วงขาลงของการท่องเที่ยวไทยอยู่แล้ว ส่วนการยกเลิกวีซ่าเพิ่มเติมน่าจะยังไม่มีเข้ามาในช่วงเวลานี้นอกจากจะมีพื้นที่แพร่ระบาดเพิ่มเติม ส่วนพื้นที่ที่มีการยกเลิกไปก็คือพื้นที่แพร่ระบาดใหญ่ และ 18 ประเทศ
ที่เป็น visa on arrival ซึ่งเราต้องเน้นปกป้องโอกาสจากการติดเชื้อจากภายนอกก่อน”

ห่วงสถานการณ์หลังไวรัสยุติ

นายชัยรัตน์ ไตรรัตนจรัสพร ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) เปิดเผยว่า การประกาศยกเลิกฟรีวีซ่าและวีซ่า ณ ด่านตรวจคนเข้าเมืองของรัฐบาลในเวลานี้มีทั้งผลบวกและลบ โดยในช่วงเวลาที่สถานการณ์การแพร่ระบาดยังดำเนินอยู่ การยกเลิกฟรีวีซ่าน่าจะช่วยให้เกิดการคัดกรองนักเดินทางอย่างเข้มข้นมากยิ่งขึ้น และลดโอกาสในการแพร่เชื้อภายในประเทศไทย


ส่วนผลกระทบก็อาจจะทำให้บางประเทศที่ยังมีนักท่องเที่ยวเดินทางอยู่ อาทิ รัสเซีย ฯลฯ หยุดการเดินทาง
และเกิดความสับสนในการท่องเที่ยว โดยผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบก็มีทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการประกาศยกเลิกดังกล่าว และมีบางส่วนที่กังวลว่าหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดยุติลง กระทรวงการต่างประเทศจะยินดีกลับมาให้ฟรีวีซ่า หรือฟรีวีซ่า ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง หรือไม่มากกว่า แต่โดยส่วนมากไม่คิดว่าจะกระทบต่อการเดินทางในช่วงเวลานี้มากกว่านี้ เนื่องจากนักท่องเที่ยวเดินทางน้อยอยู่แล้ว