“กอบกาญจน์” ลุยต่อเพิ่มเติมเว้นวีซ่า 90 วัน เพื่อรักษาตัว เล็งเป้าหมาย ญี่ปุ่น-เนปาล-ศรีลังกา

นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ตนเตรียมหารือกับกระทรวงสาธารณสุขเพื่อพิจารณายกเว้นวีซ่านักท่องเที่ยวสำหรับการมารักษาตัวและพักฟื้นในไทย เป็นเวลา 90 วันให้กับประเทศต่างๆ เพิ่มจากปัจจุบันที่อนุมัติให้กับประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม และจีน โดยประเทศเป้าหมาย คือ ญี่ปุ่น เนปาล ภูฏาน ศรีลังกา และบังกลาเทศ เป็นต้น มั่นใจว่าเป็นนโยบายช่วยกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวระยะยาว เพราะพบว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (เมดิคัลทัวร์ริสซึ่ม) จากกลุ่มประเทศนี้ เริ่มนิยมเดินทางมาใช้บริการและพักฟื้นด้านการแพทย์ในเมืองไทยมากขึ้น และยังได้อานิสงส์จากครอบครัวเดินทางมาพร้อมกัน จะเป็นแรงดึงดูดให้นักท่องเที่ยวพำนักในเมืองไทยนานขึ้น

ปัจจุบันตลาดเอเชียมาพำนักเฉลี่ยที่เมืองไทยไม่สูงนัก หากผลักดันเรื่องวีซ่าให้กลุ่มเมดิคัลทัวร์ริสซึ่มอยากมาใช้บริการและพักฟื้นด้านการแพทย์ในเมืองไทย นอกจากได้กลุ่มผู้ที่ต้องการรักษาแล้ว ยังได้อานิสงส์ถึงครอบครัวที่มาดูแลผู้เข้ารับการรักษาด้วยเฉลี่ย 3 คนต่อครอบครัวด้วย โดยกลุ่มดังกล่าวจะใช้จ่ายสูงกว่านักท่องเที่ยวทั่วไป เฉลี่ยใช้จ่ายประมาณ 5 พันบาทต่อคนต่อวัน หรือในบางตลาดอย่างญี่ปุ่น ถือว่ามีศักยภาพมาก โดยล่าสุดในงานทัวร์ริสซึ่ม เอ็กซ์โป เจแปน 2017 บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด (ทีพีซี) หรืออีลิทการ์ด ได้ร่วมเดินทางไปโรดโชว์บัตรสมาชิกพร้อมกับสิทธิประโยชน์ให้กับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเป็นครั้งแรก ตั้งเป้าหมาย 100 ราย ซึ่งบางสิทธิประโยชน์จะครอบคลุมเกี่ยวเนื่องกับสุขภาพด้วย อาจเชื่อมโยงถึงกลุ่มเมดิคัลด้วย เพราะจุดเด่นของบัตร คือ ความสามารถในการพำนักไทยแบบพำนักระยะยาว (ลองสเตย์) 100 ราย

นายบุปผาคำ ผู้จัดการใหญ่ อีลิทการ์ด กล่าวว่า บริษัทเตรียมเปิดตัวแคมเปญแอดเวนเจอร์ไทยแลนด์ เพื่อให้สมาชิกที่ซื้อบัตรมาใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวในไทยเพิ่มขึ้น เช่น มาเดินเที่ยวรอบกรุงเทพฯ ชิมสตรีทฟู้ด มาเรียนชกมวย ขณะเดียวกันจะเพิ่มช่องทางการสร้างการรับรู้ให้ซื้อบัตรอีลิทการ์ดผ่านทางการประชาสัมพันธ์ในกลุ่มนักลงทุนเพิ่มเติม เน้นลูกค้ากลุ่มเป้าหมายจากยุโรปและเอเชีย ถือเป็นตลาดหลักในปัจจุบัน โดยปี 2561 บริษัทตั้งเป้าหมายให้มียอดขายจากบัตรได้ 670 ล้านบาท และเติบโต 10% สำหรับตลาดซื้อบัตรอีลิทการ์ดเป็นอันดับแรก คือจีน 30% อังกฤษ 28% สหรัฐ 25% ฝรั่งเศส 22% ญี่ปุ่น 20% เป็นต้น

 


ที่มา : มติชนออนไลน์