H.I.S. ทุ่มลงทุนโรงแรม รับ “โอลิมปิก โตเกียว 2020”

ในปี 2563 หรือ 2020 นี้ “ญี่ปุ่น” ได้เป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมกีฬาโอลิมปิก “โอลิมปิก โตเกียว 2020” โดยในปีดังกล่าว กระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยวของประเทศญี่ปุ่น ได้ตั้งเป้าว่าจะเป็นปีที่ญี่ปุ่นมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเยือนถึง 40 ล้านคน

“ประชาชาติธุรกิจ” ได้ร่วมสัมภาษณ์ “ทัตสึกิ มิอุระ” ผู้จัดการแผนกวางแผนองค์กร ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ประจำสำนักงานใหญ่กรุงโตเกียว บริษัท เอช.ไอ.เอส. จำกัด ถึงแผนลงทุนขยายธุรกิจ และแนวทางการเตรียมความพร้อม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการรองรับคลื่นมหาชนจากทั่วโลก ในช่วงญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพจัดมหกรรมกีฬาโอลิมปิก

มุ่งเจาะคนรุ่นใหม่

โดย “ทัตสึกิ” เริ่มต้นด้วยการฉายภาพรวมธุรกิจของ “เอช.ไอ.เอส.” ว่า เมื่อเทียบกับบริษัทนำเที่ยวเจ้าใหญ่รายอื่น ๆ อย่าง “เจทีบี” และ “นิฮงโยโก” ซึ่งทั้ง 2 บริษัทมีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 100 ปี และเจ้าของบริษัทต่างมีแบ็กกราวนด์ทำบริษัทให้บริการรถไฟฟ้า ขณะที่ “เอช.ไอ.เอส.” เป็นบริษัทร่วมทุนที่ก่อตั้งมาแค่ 37 ปีเท่านั้น และเจ้าของบริษัทไม่มีแบ็กกราวนด์ทำธุรกิจอื่นมาก่อน จึงได้วางกลยุทธ์การทำตลาดขายตั๋วเครื่องบินถูกเป็นเจ้าแรกในญี่ปุ่น เพื่อดึงความสนใจจากนักท่องเที่ยว

ลูกค้าของ เอช.ไอ.เอส. ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีอายุตั้งแต่ 20-30 ปี ครองสัดส่วนมากถึง 50% มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับสินค้าท่องเที่ยวกลุ่มพักผ่อนทั่วไป (เลเชอร์) และกิจกรรม (แอ็กทิวิตี้)

แนวทางการทำตลาดของ เอช.ไอ.เอส. จะมุ่งเจาะนักท่องเที่ยวกลุ่มเดินทางด้วยตัวเอง (เอฟ ไอ ที) ด้วยการเสนอขาย “ไดนามิกแพ็กเกจ” หรือแพ็กเกจท่องเที่ยว ขายตั๋วเครื่องบินและโรงแรมในราคายืดหยุ่น ส่งผลให้ภาพรวมของ เอช.ไอ.เอส. มียอดขายมากเป็นอันดับ 2 ในญี่ปุ่น โดยเป็นรองเพียง “เจทีบี” เท่านั้น

และที่น่าดีใจ คือ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมที่ผ่านมา ยังพบว่า เอช.ไอ.เอส.มียอดขายสูงกว่าเจทีบี เนื่องจากเป็นช่วงที่นักเรียนนักศึกษาเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศจำนวนมาก

“เอช.ไอ.เอส.ถือเป็นบริษัทที่โดดเด่นในตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ ทั้งนักเรียน นักศึกษา รวมถึงกลุ่มคนทำงาน อายุตั้งแต่ 20-30 ปี ซึ่งมีกำลังซื้อด้านการท่องเที่ยวที่ดี และจะก้าวขึ้นมาเป็นกลุ่มกำลังซื้อหลักในอนาคต”

นอกจากนี้ เอช.ไอ.เอส.ยังได้เริ่มให้ลูกค้าญี่ปุ่นใช้สกุลเงินในรูปแบบดิจิทัล ชำระค่าแพ็กเกจท่องเที่ยวไปยังจุดหมายต่าง ๆ โดยได้เปิดตัวบริการนี้ไปแล้วเมื่อ 21 กันยายนที่ผ่านมา

“จีน-ไทย” ลูกค้าหลัก

“ทัตสึกิ” บอกว่า สำหรับจุดหมายปลายทางที่ลูกค้าญี่ปุ่นของ เอช.ไอ.เอส.นิยมไปเที่ยวมากที่สุด คือ 1.เกาะฮาวาย สหรัฐอเมริกา 2.กรุงโซล เกาหลีใต้ 3.เกาะกวม สหรัฐอเมริกา 4.ประเทศไทย โดยเส้นทางที่ขายดีที่สุด คือ กรุงเทพฯ และ 5.ไต้หวัน ขณะที่เส้นทางภายในประเทศ ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นมีนโยบายส่งเสริมให้คนเที่ยวในประเทศมากขึ้นนั้น จุดหมายที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ โอกินาวา รองลงมาเป็น ฮอกไกโด โอซากา โตเกียว และเกาะคิวชู

สำหรับนักท่องเที่ยวคนไทย ถือเป็นตลาดสำคัญที่สุดในตลาดต่างประเทศของ เอช.ไอ.เอส. หลังเข้าไปบุกตลาดคนไทยเมื่อ 2 ปีก่อน ปัจจุบันตลาดคนไทยมียอดขายมากเป็นอันดับ 2 ที่สัดส่วน 20-30% ของตลาดนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศทั้งหมด รองจากนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งครองสัดส่วนมากสุด 40% โดยสินค้าท่องเที่ยวที่คนไทยนิยมซื้อก็ไม่ได้มีแค่แพ็กเกจตั๋วเครื่องบินและโรงแรมไปญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังนิยมซื้อตั๋วเครื่องบินไปยุโรป และสหรัฐอเมริกาด้วย

ลงทุน ร.ร.หุ่นยนต์รับโอลิมปิก

“ทัตสึกิ” ยังบอกอีกว่า ขณะนี้ได้เตรียมขยายธุรกิจเพิ่มเติม เพื่อรองรับการเป็นเจ้าภาพจัดมหกรรมกีฬา “โอลิมปิก 2020” กรุงโตเกียว โดยกำลังจะสร้างโรงแรมใหม่เพิ่มอีก 6 แห่งในกรุงโตเกียว และอีก 2 แห่งในโอซากาและฟูกุโอกะ คาดว่าจะเปิดให้บริการภายในปี 2018 เพื่อรองรับกระแสนักท่องเที่ยวต่างชาติหลั่งไหลในช่วงกรุงโตเกียวเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก เนื่องจากมองว่าในช่วงนั้น โตเกียวมีจำนวนห้องพักไม่เพียงพอต่อการรองรับนักท่องเที่ยว

“ทัตสึกิ” บอกด้วยว่า ก่อนหน้านี้ เอช.ไอ.เอส.ได้ลงทุนขยายโรงแรมและเปิดให้บริการไปแล้ว 15 แห่ง ในประเทศญี่ปุ่น และต่างประเทศ อาทิ บริสเบน (ออสเตรเลีย), เกาะกวม, บาหลี และไต้หวัน เสริมทัพรายได้จากธุรกิจบริษัทนำเที่ยว

สำหรับคอนเซ็ปต์ของโรงแรมนั้นจะเน้น “ความแปลก” ตามชื่อของโรงแรม ที่ใช้ชื่อว่า “เฮนนะ โฮเทล” (Henn-na Hotel) โดยคำว่า เฮนนะ ในภาษาญี่ปุ่น แปลว่า แปลก นั่นเอง

เมื่อถามว่า ความแปลกที่ว่านี้ แปลกอย่างไร “ทัตสึกิ” บอกว่า แปลกตรงที่พนักงานโรงแรมเป็น “หุ่นยนต์” มีทั้งหุ่นยนต์ผู้หญิงและหุ่นยนต์ไดโนเสาร์ เพื่อนำมาเป็นพนักงานต้อนรับ พนักงานทำความสะอาด ซึ่งช่วยประหยัดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร

โดย “เฮนนะ โฮเทล” ได้เปิดบริการแห่งแรกไปแล้วเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2015 ที่เฮาส์ เทน บอช (Huis Ten Bosch) จังหวัดนางาซากิ เกาะคิวชูและได้รับการบันทึกให้อยู่ใน “กินเนสส์ เวิลด์ เร็กคอร์ด” ว่าเป็นโรงแรมแห่งแรกของโลกที่มีหุ่นยนต์เป็นพนักงานอีกด้วย

“เราเน้นความถูก ตอบโจทย์ความเป็นบิสซิเนสโฮเต็ล ซึ่งไม่เน้นความหรูหรา โดยราคาห้องพักแบบสแตนดาร์ด เฉลี่ยอยู่ที่ 15,200 เยน หรือราว 4,560 บาทต่อคืน ซึ่งที่ผ่านมามีอัตราเข้าพักในช่วงพีกซีซั่น เฉลี่ยอยู่ที่ 80%”


อย่างไรก็ตาม คาดว่าแนวโน้มราคาแพ็กเกจท่องเที่ยว ทั้งตั๋วเครื่องบิน และห้องพักในญี่ปุ่น ในช่วงจัดกีฬาโอลิมปิก ปี 2020 นั้นจะพุ่งสูงขึ้น และแพงกว่าช่วงพีกซีซั่นที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาชมซากุระบานในช่วงเดือนเมษายนของทุกปีแน่นอน