เหลือเวลาอีกเพียงแค่ประมาณ 1 เดือนเท่านั้นที่คณะกรรมการฟื้นฟูกิจการ ต้องเสนอแผนฟื้นฟูของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ต่อศาลล้มละลายกลางตามคำสั่งเมื่อ 14 กันยายน 2563 ที่ผ่านมา ช่วงนี้จึงเป็นห้วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของสายการบินแห่งชาติของไทยไม่น้อย เพราะแผนฟื้นฟูที่จะออกมานี้จะต้องมีความชัดเจนว่า “การบินไทย” จะต้องเดินหน้าต่อไปได้ และที่สำคัญต้องลุ้นให้บรรดา “เจ้าหนี้” ทั้งหลายเห็นชอบด้วย
โดยที่ผ่านมาผู้จัดทำแผนฟื้นฟูกิจการ ซึ่งประกอบด้วยบริษัท อีวาย คอร์ปอเรท แอดไวซอรี่ เซอร์วิสเซส จำกัด และคณะกรรมการบริหาร (บอร์ด) การบินไทยอีก 6 คนคือ พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน, จักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล, พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค, บุญทักษ์ หวังเจริญ, ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ และชาญศิลป์ ตรีนุชกร ได้เดินหน้าทำแผนกันมาเป็นระยะ
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- รักษาการอธิบดี DSI เปิดเงื่อนไข “ขนย้ายกากแคดเมียม” เข้าข่ายเป็นคดีพิเศษหรือไม่
เร่งเดินหน้าหา “รายได้” เพิ่ม
ก่อนหน้านี้ “ชาญศิลป์ ตรีนุชกร” ได้ให้สัมภาษณ์ว่า รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (ดีดี) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) บอกกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในช่วงระหว่างรอการจัดทำแผนฟื้นฟูนี้ บริษัทมีความจำเป็นอย่างมากต้องปรับโครงสร้างองค์กร โครงสร้างรายได้
เร่งหารายได้จากกิจการอื่น ๆ จากทุกกลุ่มธุรกิจในเครือเข้ามาเพื่อเพิ่มกระแสเงินสดที่มีอยู่ให้สามารถอยู่ได้ถึงเดือนเมษายน 2564 เนื่องจากสถานะปัจจุบันของการบินไทยนั้นต้องบริหารจัดการธุรกิจด้วยเงินสดเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจครัวการบิน ด้วยการให้บริการอาหารบนภาคพื้น, ให้บริการเที่ยวบินเหมาลำรับ-ส่งผู้โดยสารระหว่างประเทศ (ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ), จำหน่ายสินค้าที่ระลึก รวมถึงจัดคอร์สให้คนทั่วไปได้เข้ามาร่วมสร้างประสบการณ์ทางด้านธุรกิจการบิน เช่น โครงการ THAI Flying Experience & Beyond ให้เข้าชมและฝึกบินด้วยเครื่อง simulator, ร่วมกับไทยไฟลท์เทรนนิ่ง อะคาเดมี จัดโครงการ We miss you ชวนคนทั่วไปร่วมสัมผัสประสบการณ์ใหม่ไปกับการบินไทย ฯลฯ
รวมทั้งเร่งเปิดให้บริการเส้นทางบินภายในประเทศ ผ่านการให้บริการของ “ไทยสมายล์” และความพยายามในการลดต้นทุนด้วยการเปิดโครงการ “จากกันด้วยดี” เพื่อให้พนักงานสมัครใจออกและหยุดงาน 6 เดือนโดยรับค่าตอบแทน 20% และล่าสุด “การบินไทย” ได้ประกาศขายเครื่องบินผ่านเว็บไซต์ออกไปจำนวน 34 ลำ
การบริหารไม่สอดรับแผนฟื้นฟู
แหล่งข่าวระดับสูงในบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ให้ข้อมูลกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เข้าใจว่าองค์กรการบินไทยกำลังอยู่ในช่วงของการทำแผนฟื้นฟู ต้องเร่งหารายได้ และลดค่าใช้จ่าย แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมานโยบายฝ่ายบริหารกลับไม่มีความชัดเจน ไม่สอดรับกับทิศทางที่ควรจะเป็น รวมทั้งไม่ยอมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นและแก้ไข
ยกตัวอย่างเช่น นโยบายการปรับลดขนาดองค์กรด้วยการลดจำนวนบุคลากร ภายใต้โครงการ “จากกันด้วยดี” ที่ดำเนินการไปแล้วนั้นก็ไม่ได้ตอบโจทย์หรือแก้ไขปัญหาเรื่องของประสิทธิภาพของการบริหารอย่างที่ควรจะเป็น
“แม้ว่าโครงการจากกันด้วยดีจะมีพนักงานที่เข้าร่วมโครงการเกือบ 5,000 คน จากประมาณ 20,000 คน ถามว่าเป็นไปตามความต้องการของฝ่ายบริหารหรือไม่ คงต้องถามกลับไปว่าวัตถุประสงค์จริง ๆ คืออะไร เพราะบริษัทขนาดใหญ่ทั่วไป วัตถุประสงค์ในการออกมาตรการลักษณะนี้มักจะเอาบุคลากรที่ไม่มีความจำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจออก เพื่อลดค่าใช้จ่ายและทำให้บริษัทอยู่รอดต่อไปได้”
สำหรับ “การบินไทย” นั้น ยังเป็นที่กังขาว่ามาตรการดังกล่าวเป็นไปตามที่ควรจะเป็นหรือไม่ เพราะทุกครั้งที่ออกมาตรการลักษณะนี้ ผลที่ได้รับกลับกลายเป็นว่าคนที่บริษัทอยากให้ออก หรือส่วนที่เรียกว่าเป็นไขมันของบริษัท กลับไม่สมัครใจเข้าร่วมโครงการในลักษณะนี้แต่อย่างใด
พร้อมระบุว่า ก่อนหน้าที่จะมีโครงการนี้ ผู้บริหารได้ขอความร่วมมือให้พนักงานทุกคนร่วมแรงร่วมใจเสียสละลดรายได้ของตนเองรวมถึง 2 ครั้ง แต่พนักงานจำนวนมากก็ไม่ได้สมัครใจยอมลดรายได้ของตนเอง ซึ่งทางฝ่ายบริหารก็ไม่ได้มีมาตรการอะไรออกมา เหมือนกับที่สายการบินอื่น ๆ ทำ
ที่สำคัญบริษัทยังจ่ายค่าตอบแทนให้กับพนักงานส่วนที่ไม่ได้เสียสละเพื่อบริษัทเท่าเดิม พอมีปัญหาเรื่องกระแสเงินสดหมุนเวียนพนักงานทุกคนไม่ว่าจะเป็นคนที่เสียสละหรือไม่เคยเสียสละมาก่อนก็ได้สิทธิเท่าเทียมกัน
แนะ “ยุบทิ้ง” ไทยสมายล์
นอกจากนี้ยังระบุว่า ประเด็นที่หลายฝ่ายและบอร์ดบริหารบางคน รวมถึงข้อแนะนำของ “แมคคินซี่แอนด์โค” ที่ปรึกษาด้านธุรกิจการบินได้แนะนำให้คณะผู้ทำแผนฟื้นฟูพิจารณามากที่สุดในขณะนี้ คือ “ยุบทิ้ง” สายการบินไทยสมายล์ ซึ่งเป็นสายการบินลูกที่มีผลประกอบการ “ขาดทุน” มาตลอดตั้งแต่เปิดให้บริการปี 2555 โดยตัวเลข ณ สิ้นปี 2562 ที่ผ่านมาไทยสมายล์มีตัวเลขขาดทุนสะสมรวมเกือบ 10,000 ล้านบาท
จึงมองว่า เมื่อ “การบินไทย” ต้องเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูก็ไม่สามารถแบกรับภาระหนี้สินของไทยสมายล์ได้อีกต่อไป ซึ่งก็เป็นแนวคิดที่บริษัทที่ปรึกษาเห็นด้วย แต่บอร์ดบริหารของการบินไทยหลายคนกลับไม่เห็นด้วย
“แนวทางที่การบินไทยดำเนินการนั้นไม่เหมือนกับสายการบินอื่นทั่วไป คือการที่จะพยายามรักษาบริษัทลูกอย่างไทยสมายล์ไว้ แต่สายการบินอื่นเขาเลือกยุบบริษัทลูกแทน เช่น คาเธ่ย์แปซิฟิค ที่ยุบดรากอนแอร์ซึ่งเป็นบริษัทลูก แม้ว่าสายการบินดรากอนแอร์จะไม่ได้สร้างภาระให้กับบริษัทแม่มากมายนัก”
ผลที่เกิดขึ้นคือ พนักงานฝ่ายปฏิบัติการของการบินไทย ไม่ว่าจะเป็นนักบินหรือลูกเรือต้องถูกให้ออกจากงานเป็นจำนวนมาก แต่พนักงานฝ่ายปฏิบัติการของบริษัทลูกอย่างไทยสมายล์ ไม่ว่าจะเป็นนักบินหรือลูกเรือกลับได้ทำงานต่อไปโดยไม่มีผลกระทบแต่อย่างใด ทั้ง ๆ ที่หากพูดถึงมาตรฐานทางด้านวิชาชีพ
โดยเฉพาะในส่วนของนักบินนั้น นักบินของสายการบินแห่งชาติมีมาตรฐานสูงมาก ทั้งในด้านการสอบคัดเลือกและการฝึกอบรม แต่ในภาวะที่บริษัทจำเป็นที่จะต้องลดจำนวนคนลง กลับเลือกที่จะลดจำนวนนักบินของสายการบินแห่งชาติ แทนที่จะเลือกลดจำนวนนักบินของไทยสมายล์
แต่งตั้ง-ย้ายฝ่ายบริหารป่วน
ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีประเด็นปัญหาเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายผู้บริหารที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นในยามที่บริษัทกำลังต้องการความร่วมมือร่วมใจจากพนักงาน เช่น กรณีการแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูง ที่พนักงานหลาย ๆ ฝ่ายได้แสดงความเห็นว่าไม่เหมาะสม แต่ทางผู้บริหารระดับสูงก็ยังยืนยันที่จะแต่งตั้งพนักงานคนดังกล่าวอยู่เช่นเดิม โดยอ้างว่าตั้งแค่คนนี้คนเดียวจะมีผลกระทบอะไร โดยไม่คิดว่าถ้าไม่ตั้งคนนี้บริษัทจะเดินต่อไม่ได้หรืออย่างไร
ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวข้างต้น เป็นตัวชี้ให้เห็นว่า ตรรกะของสายการบินแห่งชาติแห่งนี้ผิดเพี้ยนเกินกว่าที่พนักงานและคนทั่วไปจะเข้าใจ
ประเด็นในขณะนี้จึงอยู่ที่ว่า ภายใต้ภาวะที่ยากลำบากเช่นนี้ “การบินไทย” จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับความร่วมมือร่วมใจจากทั้งพนักงานและผู้ถือหุ้น แต่ถ้าการบริหารเป็นไปในลักษณะนี้ “การบินไทย” จะฝ่ามรสุมผ่านแผนฟื้นฟู เดินหน้าตามแผนฟื้นฟู และกลับมาผงาดสมกับเป็น “สายการบินแห่งชาติ” ได้อีกครั้งได้อย่างไร