“ไมเนอร์” กระอักรายได้หด โควิดรอบ 2 ทุบโรงแรมยุโรป

อวานี

“ไมเนอร์” โชว์ตัวเลขไตรมาส 3 ขยับดีขึ้น 36% จากไตรมาสก่อน เผยยังขาดทุน-รายได้ลดลงกว่า 50% เมื่อเทียบปีต่อปี ระบุโควิดระลอก 2 ในยุโรปทุบน่วม ขณะที่ “ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์” เริ่มฟื้นตัว ส่วนตลาดไทยเน้นเก็บรายได้ ASQ-โดเมสติก ลุ้นเปิดประเทศปลายปีหวังวัคซีนดันเอาต์ลุกปีหน้า

ชัยพัฒน์ ไพฑูรย์

นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาเชิงกลยุทธ์ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (MINT) เปิดเผยว่า ในไตรมาส 3/2563 ที่ผ่านมา บริษัททำรายได้ (core preTFRS16) 14,887 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 4,419 ล้านบาท

แม้บริษัทจะยังคงมีผลประกอบการขาดทุน โดยมีรายได้ลดลง 50% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แต่ก็ปรับตัวขาดทุนลดน้อยลงจากไตรมาส 2/2563 ที่มีการลดลงของรายได้กว่า 79% โดยไตรมาส 3/2563 ขาดทุนน้อยกว่าไตรมาส 2/2563 กว่า 36%

ทั้งนี้ เนื่องจากธุรกิจร้านอาหารสามารถกลับมาเปิดทำการได้แล้วครบทุกฮับ และสามารถทำกำไรได้แล้ว แม้ธุรกิจโรงแรมจะยังคงรายงานผลขาดทุน แต่ก็เริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้นเป็นลำดับ รวมทั้งมีสัญญาณการฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัดในพื้นที่ออสเตรเลีย

นอกจากนั้น โรงแรมในพื้นที่มัลดีฟส์ที่เพิ่งเปิดให้บริการในเดือนกันยายนที่ผ่านมา อย่างโรงแรมอนันตรา คิฮาวาห์ มัลดีฟส์ ก็สามารถทำอัตราการเข้าพักได้สูงถึง 70% ในเดือนพฤศจิกายนนี้

“ประกอบกับความพยายามในการลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทสามารถตัดต้นทุนลงไปกว่า 40% จากที่ตั้งเป้าหมายไว้ราว 30% จากความพยายามในการเจรจากับเจ้าของที่ดินของ NHH ที่ทำให้สามารถลดต้นทุนค่าเช่าที่ดินไปได้กว่า 90 ล้านยูโรตลอดทั้งปี”

นอกจากนั้น บริษัทยังมีกระแสเงินสดที่ได้จากแผนการระดมทุนอีกกว่า 30,000 ล้านบาท และยังมีเครดิตสินเชื่ออีกกว่า 25,000 ล้านบาท โดยบริษัทยังได้เตรียมความพร้อมวางแผนสำรองสำหรับการหมุนเวียนทรัพย์สิน เพื่อนำกระแสเงินสดมาสำรองใช้

โดยเชื่อว่าอสังหาริมทรัพย์ที่บริษัทถืออยู่ในตอนนี้อยู่ในยุทธศาสตร์ที่โดดเด่นและจะสามารถทำกำไรได้ ขณะเดียวกัน บริษัทยังเตรียมยื่นขอขยายระยะเวลาพักชำระหนี้ที่มีกำหนดสิ้นสุดในช่วงต้นปีหน้าออกไปอีกครั้ง เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิด

นายชัยพัฒน์กล่าวต่อไปว่า สำหรับธุรกิจโรงแรมปัจจุบันกลับมาเปิดให้บริการแล้ว 84% ของโรงแรมทั้งหมด แม้เทียบรายได้แบบปีต่อปีจะลดลง แต่เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ถือว่ามีสัญญาณดีขึ้น สามารถรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากโรงแรมในทุกโมเดลธุรกิจ โดยมีออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ไทย และยุโรป เป็นตลาดที่ค่อยฟื้นตัวดีตามลำดับ

ขณะที่รายได้ต่อห้องพัก (RevPAR) โดยรวมลดลงกว่า 66% โดยการขาดทุนส่วนใหญ่มาจาก NHH กว่า 60% แต่สถานการณ์ในยุโรปก็เริ่มดีขึ้นเป็นลำดับจากการเปิดให้บริการโรงแรมในเดือนกันยายนที่ผ่านมา และการเปิดให้บริการของโรงแรมในพื้นที่มัลดีฟส์ที่เพิ่งกลับมาเปิดให้บริการ รวมถึงพื้นที่ยุโรปที่ถูกกระแสการระบาดของไวรัสโควิดรอบที่ 2 และ 3 โจมตีอย่างหนัก

อย่างไรก็ตาม คาดว่าหลายประเทศในยุโรปอย่างสเปน เยอรมนี ฯลฯ น่าจะมีสถานการณ์ดีขึ้นในเดือนพฤศจิกายนหรือธันวาคมนี้ ในขณะที่ไทยก็เป็นตามเทรนด์ปกติคือมีรายได้ปีต่อปีติดลบ แต่รายได้ต่อไตรมาสขยับฟื้นฟูขึ้นตามลำดับ โดยรับรู้รายได้หลักในกรุงเทพฯ จากการเข้าทำสถานที่กักกันทางเลือกของรัฐ (ASQ) ที่กลุ่มได้เข้าร่วมตั้งแต่แรก ส่วนพื้นที่ต่างจังหวัดขยับขึ้นจากดีมานด์ภายในประเทศ

“หลังการปรับลดต้นทุนอย่างหนักในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา กลุ่มไมเนอร์โฮเทลส์ก็สามารถดันอัตราการเข้าพักเฉลี่ยให้ขึ้นไปแตะจุดคุ้มทุนได้สำเร็จ ก่อนจะลดลงอีกครั้งจากการล็อกดาวน์และการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบที่ 2 และ 3 ในยุโรป แต่เราเชื่อว่าสถานการณ์เริ่มดีขึ้นตามลำดับ และใน 2 เดือนที่เหลือของปีน่าจะเห็นสถานการณ์ที่เป็นบวกมากขึ้น” นายชัยพัฒน์กล่าว

และว่า สำหรับการขยายการเติบโตของไมเนอร์โฮเทลส์นั้น บริษัทจะเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ยังไม่มีการถอดโรงแรมใดออกจากแผน เพียงแต่หลังหารือกับเจ้าของโรงแรมที่อยู่ในแผนอาจมีการขยับวันเวลาเปิดให้บริการออกไปเล็กน้อยตามสถานการณ์

“ในไตรมาส 4 และปีหน้าโอกาสในการฟื้นตัวขึ้นอยู่กับการลดต้นทุน ยิ่งควบคุมได้มากก็ยิ่งมีโอกาสมากขึ้น ไมเนอร์ตั้งเป้าจะขยับลดต้นทุนลงอีก แต่ในขณะเดียวกันก็คาดหวังว่าฝั่งดีมานด์จะไม่มีปัจจัยที่คาดไม่ถึงอีก เราจึงต้องมอนิเตอร์แบบวันต่อวัน แต่เชื่อว่าความคืบหน้าของวัคซีนน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบของโควิด-19 แล้ว ถ้าในปีหน้าสามารถเปิดน่านฟ้าและให้มีการเดินทางอย่างมีนัยสำคัญได้จะช่วยให้เอาต์ลุกของปีหน้าดีขึ้นอย่างแน่นอน” นายชัยพัฒน์กล่าว