ททท. เร่งตรวจสอบ 312 โรงแรม 202 ร้านค้าเข้าข่ายทุจริตโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ยันหากพบผิดจริงตัดสิทธิเข้าร่วมทุกมาตรการของรัฐทันที พร้อมเรียกเงินคืน ดำเนินคดีทั้งแพ่ง-อาญา ลงโทษขั้นสูงสุด เตรียมประกาศรายชื่อผู้ร่วมขบวนการผ่านสื่อทุกช่องทาง ล่าสุดขอเลื่อนจองสิทธิ์ใหม่ 1 ล้านสิทธิ์ไปไม่มีกำหนด หาทางปิดช่องโหว่ ยันไม่กระทบภาพรวมท่องเที่ยวปลายปี
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบข่าวการทุจริตโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” พบว่า มีผู้ประกอบการที่เข้าข่ายส่อทุจริตรวมจำนวน กว่า 500 แห่ง ประกอบด้วย โรงแรม 312 แห่ง จากจำนวนโรงแรมเข้าร่วมโครงการทั้งหมดกว่า 8,000 แห่ง และร้านค้า 200 ร้านค้าจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการกว่า 60,000 ร้านค้า
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- กีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เสียชีวิต อายุ 56 ปี
โดยมีรูปแบบการดำเนินงานหลายกรณี ได้แก่ 1.จองห้องพักเข้าพักในโรงแรมราคาถูก แต่ไม่ได้เข้าพักจริง เพื่อขอรับคูปองอาหารมูลค่า 900 บาท สำหรับวันธรรมดา และมูลค่า 600 บาท ในวันสุดสัปดาห์ 2.โรงแรมปรับขึ้นราคาห้องพักและรู้เห็นเป็นใจกับผู้เข้าพัก รวมทั้งมีการซื้อขายสิทธิ์โดยไม่มีการเดินทางจริง (ส่วนใหญ่เป็นกรณีจองตรงกับทางโรงแรม) 3.โรงแรมยังไม่ได้กลับมาเปิดให้บริการ แต่มีการขายห้องพัก
4.ใช้ส่วนต่างของคูปองเต็มมูลค่าเงินเพื่อรับส่วนต่างเต็มจำนวน 5.เข้าพักจริงเป็นกรุ๊ปเหมา ตั้งราคาสูงเพื่อรับเงินทอน (ส่วนใหญ่จองตรงกับทางโรงแรม) และ 6.อัตราการจองห้องพักเกินจำนวนห้องพักที่มีอยู่เพื่ออัพเกรดให้ลูกค้าไปพักในโรงแรมอื่นเพื่อกินส่วนต่าง
“ททท.ได้รับรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีการตรวจสอบมาตลอด แต่ที่เริ่มเห็นชัดเจนในช่วงประมาณกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา หลังจากที่มีการปลดล็อกเรื่องภูมิลำเนาให้ผู้ใช้สิทธิ์สามารถใช้สิทธิ์ในจังหวัดภูมิลำเนาของตัวเองได้ กล่าวคือจากที่มีอัตราการจองประมาณ 14,000 ห้องต่อวัน หลังปลดล็อกเรื่องภูมิลำเนามีอัตราการจองพุ่งเป็นประมาณ 54,000 ห้องต่อวัน” นายยุทธศักดิ์กล่าว
นายยุทธศักดิ์กล่าวด้วยว่า ททท.จะดำเนินการตรวจสอบประเด็นต้องสงสัยโดยแบ่งเป็น 3 กรณี คือ 1.กรณีนักท่องเที่ยวจองแล้ว เข้าพักแล้ว และจ่ายเงินแล้ว โดยจะทำการตรวจสอบย้อนหลัง 2.กรณีนักท่องเที่ยวจองแล้ว จ่ายเงินแล้ว แต่ยังไม่ได้เข้าพัก จะระงับการจ่ายเงินไว้ก่อน และ 3.กรณีจองแล้ว ยังไม่ได้จ่ายเงิน และยังไม่ได้เข้าพัก ซึ่งก็ต้องตรวจสอบเช่นกัน
ทั้งนี้ หากพบว่ามีการทุจริตจริง ททท.จะขึ้นแบล็กลิสต์และตัดสิทธิ์ไม่ให้ผู้ประกอบการเหล่านี้เข้าร่วมมาตรการรัฐทั้งหมดทุกโครงการในอนาคต และเรียกเงินคืนให้รัฐ พร้อมทั้งดำเนินคดีด้านกฎหมายทั้งทางแพ่งและอาญา และลงโทษขั้นสูงสุด เนื่องจากถือเป็นการทุจริตเงินรัฐ นอกจากนั้นจะทำการประกาศรายชื่อผู้ประกอบการที่ทุจริตทั้งหมดผ่านหน้าสื่อในทุกช่องทางอีกด้วย
นายยุทธศักดิ์กล่าวด้วยว่า จากประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ ททท.ต้องเสนอให้เลื่อนการใช้สิทธิ์ที่ได้เพิ่มมาอีก 1 ล้านสิทธิ์ ซึ่งเดิมจะเปิดให้ลงทะเบียนในวันที่ 16 ธันวาคมนี้ออกไปก่อน ทั้งนี้ เพื่อหามาตรการมาปิดช่องโหว่ของโครงการใหม่อีกครั้ง รวมถึงหาแนวทางที่ทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังคงได้ประโยชน์จากโครงการตามวัตถุประสงค์กระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป
“ประเด็นที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพียงแค่ปัญหาส่วนหนึ่งเท่านั้น ส่วนตัวเชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงปลายปีนี้ เนื่องจากนักท่องเที่ยวมีการจองการเดินทางล่วงหน้ากันไปเรียบร้อยแล้ว” นายยุทธศักดิ์กล่าว