“นกแอร์” ยันไม่แข่งไฮสปีดเทรน พร้อมทยอยปรับบินตปท. ลั่นปี’61 มีกำไรแน่

นายปิ่นยศ พิบูลสงคราม ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายการตลาดและการขาย บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงกรณีรัฐบาลจะก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ว่าสายการบินนกแอร์คงไม่แข่งขันกับรถไฟความเร็วสูงอยู่แล้ว โดยเฉพาะเส้นทางกรุงเทพฯ-นครราชสีมา เนื่องจากไม่มีเที่ยวบินในเส้นทางนี้ แต่หากขยายต่อไปถึงหนองคายก็คงกระทบแน่นอน เพราะนกแอร์ให้บริการในเส้นทางขอนแก่นและอุดรธานีด้วย โดยขณะนี้นกแอร์อยู่ระหว่างทยอยออกไปให้บริการในเส้นทางระหว่างประเทศที่มีระยะทางตั้งแต่ 3 ชั่วโมงมากยิ่งขึ้น

“ที่จริงการแข่งขันกับรถไฟความเร็วสูงต้องยอมรับว่าสู้ยาก เพราะอย่างในจีนเอง เมื่อมีรถไฟความเร็วสูงไปเมืองไหนคนก็จะใช้บริการเป็นจำนวนมาก ส่วนสายการบินก็ต้องปรับเปลี่ยนไปให้บริการเส้นทางอื่นที่ไม่มีรถไฟความเร็วสูงแทน โดยในส่วนของรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคาย คงจะไม่กระทบกับนกแอร์ในทันที เพราะกว่าจะสร้างเสร็จก็คงใช้เวลาอีกหลายปีจึงจะไปถึงหนองคาย ดังนั้น จึงค่อยๆ ทยอยย้ายเที่ยวบินไปต่างประเทศเพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้เข้ามาทดแทนเส้นทางในประเทศ” นายปิ่นยศกล่าว

นายปิ่นยศกล่าวว่า สำหรับปี 2561 บริษัทน่าจะกลับมามีกำไรเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี เนื่องจากภายในปีนี้จะเร่งลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มรายได้อย่างต่อเนื่อง สำหรับการลดค่าใช้จ่ายนั้น ขณะนี้นกแอร์ได้ทำการปรับประเภทเครื่องบินให้สอดคล้องกับเส้นทางบิน โดยเริ่มนำเครื่องบินใบพัดขนาด 86 ที่นั่งมาบินแทนเครื่องบินเจ็ตขนาด 189 ที่นั่ง ในเส้นทางที่มีผู้โดยสารน้อย เช่น พิษณุโลก ขอนแก่น บุรีรัมย์ และระนอง รวมทั้งลดความถี่ของเที่ยวบิน

ส่วนเครื่องบินเจ็ตมีแผนที่จะเพิ่มชั่วโมงบินในแต่ละวันให้มากขึ้น เพื่อทำให้ต้นทุนต่อเที่ยวบินลดลง โดยจะนำเครื่องที่บินในไทยก่อนจากนั้นในวันเดียวกันก็จะใช้เครื่องลำเดิมบินต่อไปยังเส้นทางต่างประเทศ คือ จีนในจุดบินที่นกแอร์เปิดจุดบินไว้แล้ว ซึ่งก็จะทำให้ชั่วโมงบินเฉลี่ยของทั้งฝูงบินเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 7-8 ชั่วโมง/ลำ/วัน เป็น 10.5-11 ชั่วโมง/วัน/ลำ

นายปิ่นยศกล่าวถึงแผนเพิ่มรายได้ว่า ปีนี้จะไม่เพิ่มจุดบินในประเทศแล้ว เพราะอิ่มตัว แต่จะเร่งเพิ่มจุดบินในต่างประเทศมากขึ้น คือ จีน โดยในเดือนสิงหาคม จะเปิดจุดบินใหม่ในจีนอีก 3 เส้นทาง คือ ดอนเมือง-เจิ้งโจว, ดอนเมือง-อู๋ซี และคุนหมิง-ภูเก็ต และไตรมาสที่ 4 จะเปิดเพิ่มอีก 2 เส้นทาง คือ เจิ้งโจว-เชียงใหม่ และเจิ้งโจว-ภูเก็ต รวมทั้งอยู่ระหว่างศึกษาเปิดจุดบินใหม่ในจีนอีก 20 เมือง และญี่ปุ่นอีก 1 จุด ที่เมืองโอกินาวา

“ปีนี้เราตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนการบินในต่างประเทศจาก 5% ในปีก่อนให้เป็น 20% ในปีนี้ และผลักดันให้เพิ่มขึ้นเป็น 50% ในปี 2563 เพราะเมื่อนำเครื่องมาบินระยะไกลมากขึ้นจะคุ้มค่ามากขึ้น โดยเฉพาะตลาดจีนมีแนวโน้มที่จะเติบโตได้อีกมาก โดยปัจจุบันนกแอร์มีผู้โดยสารเฉลี่ยปีละ 8 ล้านคน มีสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนเพียง 5% เท่านั้น” นายปิ่นยศกล่าว

นอกจากนี้ในอีก 2 เดือน นกแอร์เตรียมที่จะออกโปรโมชั่นใหม่พิเศษขายตั๋วเครื่องบินพ่วงกับกิจกรรมพักผ่อนต่างๆ ในราคาสุดคุ้ม เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้าให้หลากหลายมากขึ้น เช่น กลุ่มสาวโสด นักดำน้ำ คนชอบถ่ายภาพ เป็นต้น

นายปิ่นยศกล่าวถึงอัตราบรรทุกในปัจจุบันว่า อยู่ที่ 83% เป็นไปตามเป้าหมาย โดยเริ่มดีขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2 โดยเฉพาะในเดือนมิถุนายน รายได้จากผู้โดยสารเฉลี่ยต่อที่นั่งเพิ่ม (ยีล) อยู่ที่ 2 บาท/กม. เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 15% เพราะราคาขายตั๋วนกแอร์ปรับสูงขึ้นจากความต้องการที่เพิ่มขึ้น การปรับวิธีขายผ่านออนไลน์โดยดึงให้นักท่องเที่ยวเข้าดูเว็บไซต์มากขึ้น และกระตุ้นยอดขายช่วงวันทำงานมากขึ้น ทำให้ราคาขายตั๋วโลว์คอสต์เฉลี่ยของนกแอร์ขณะนี้เติบโตขึ้นจากปีก่อน 15% โดยราคาเฉลี่ยขยับขึ้นอยู่ที่ 1,300-1,400 บาท/เที่ยว สูงกว่าราคาเฉลี่ยในตลาดซึ่งอยู่ที่ 1,200 บาท/เที่ยว

 


ที่มา : มติชนออนไลน์