รมว.ท่องเที่ยว ไขปม ! “ไทม์ไลน์-เงื่อนไข” เปิดรับต่างชาติ

สุวรรณภูมิ
ภาพโดย Markus Winkler จาก Pexels
สัมภาษณ์

ประกาศของกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อ 1 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา ที่ระบุว่า นับตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นไป ผู้เดินทางเข้าไทยจากทุกประเทศจะต้องเข้ากักตัวเป็นเวลา 14 วัน แม้ว่าผู้เดินทางจะได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว ทำให้มาตรการลดวันกักตัวต่างชาติที่เดินทางเข้าภูเก็ตตามโมเดล “ภูเก็ต แซนด์บอกซ์” ที่ลดวันกักตัวเหลือ 7 วัน สำหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนครบ 2 โดส และ 10 วัน

สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนต้องกลับไปใช้มาตรการกักตัว 14 วัน ตามมาตรการของสาธารณสุขเหมือนเดิม

“ประชาชาติธุรกิจ” ได้ร่วมสัมภาษณ์ “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาถึงแนวทางการพิจารณาเปิดประเทศเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว รวมถึงประเมินภาพรวมการท่องเที่ยวของไทยในปีนี้ ไว้ดังนี้

พิพัฒน์ รัชกิจประการ
พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

ดัน 10 จังหวัดรับต่างชาติ

“รมว.พิพัฒน์” บอกว่า ณ เวลานี้รัฐบาลยืนยันว่ายังขับเคลื่อนแผนเปิดประเทศรับต่างชาติโดยไม่กักตัวให้ได้ในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ ที่จังหวัดภูเก็ต ตามโมเดล “ภูเก็ตแซนด์บอกซ์” และในอีก 9 จังหวัด รวมเป็น 10 จังหวัด ในวันที่ 1 ตุลาคม 2564

โดย 10 จังหวัดดังกล่าว ประกอบด้วย 6 จังหวัดเดิมที่อยู่ในแผน “แซนด์บอกซ์” ก่อนหน้านี้คือ ภูเก็ต, กระบี่, พังงา, สุราษฎร์ธานี (สมุย, พะงัน, เกาะเต่า), ชลบุรี (พัทยา) และเชียงใหม่ และอีก 4 จังหวัดใหม่ ที่อยู่ในแผนนำเสนอให้คณะกรรมการท่องเที่ยวแห่งชาติ (ท.ท.ช.) ได้แก่ กรุงเทพฯ, เพชรบุรี (ชะอำ), ประจวบคีรีขันธ์ (หัวหิน) และบุรีรัมย์

ขอโควตาวัคซีน 32 ล้านโดส

โดยในพื้นที่ 10 จังหวัดดังกล่าวนี้ประมาณไว้ว่า น่าจะมีประชากรในพื้นที่และประชากรแฝงราว 16 ล้านคน ความต้องการใช้วัคซีนรวม 32 ล้านโดส ซึ่งทางกระทรวงการท่องเที่ยวฯต้องทำเรื่องขอจัดสรรโควตาวัคซีนต่อไป

ทั้งนี้ หากประเมินตามไทม์ไลน์รับมอบวัคซีนของรัฐบาลในช่วงเดือนมิถุนายน-กันยายนนี้ น่าจะมีปริมาณรวมราว 35 ล้านโดส ซึ่งหากรวมแผนการจัดซื้อใหม่เพื่อให้มีวัคซีน 100 ล้านโดส คาดว่าในช่วงดังกล่าวจะมีวัคซีนเข้ามาเติมอีกประมาณ 20 ล้านโดส รวมเป็น 50 ล้านโดส ซึ่งน่าจะเพียงพอสำหรับการกระจายไปในเมืองท่องเที่ยวที่อยู่ในแผนเปิดรับต่างชาติโดยไม่กักตัว

ยัน “แซนด์บอกซ์” ไม่ล่ม

สำหรับจังหวัดภูเก็ตซึ่งเป็นจังหวัดนำร่องนั้น “รมว.พิพัฒน์” บอกว่า ขณะนี้ฉีดวัคซีนไปแล้วประมาณ 2 แสนโดส ส่วนที่เหลืออีก 7.4-7.5 แสนโดสอยู่ระหว่างการขอจัดสรรเพิ่มเติม เพื่อให้ทัน 1 กรกฎาคมนี้ หากวัคซีนพร้อมทางจังหวัดภูเก็ตก็พร้อมระดมฉีดวัคซีนได้ถึงประมาณ 1.5 หมื่นโดสต่อวัน ซึ่งทันกับกำหนดการเปิดแน่นอน

“วันนี้มีคำถามว่าภูเก็ตแซนด์บอกซ์ล้มหรือไม่ ผมได้ยืนยันกับทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท.ไปแล้วว่าไม่ล้ม เราประชาสัมพันธ์ไปทั่วโลกแล้ว ดังนั้น ต้องเดินหน้าตามเป้าหมายเดิม ซึ่งผมมองว่าเราต้องเดินหน้าเรื่องเศรษฐกิจควบคู่กับมาตรการด้านสาธารณสุขด้วย”

“ภูเก็ต” ผู้ติดเชื้อต้องเป็นศูนย์

อย่างไรก็ตาม การเปิดจังหวัดภูเก็ตรับต่างชาติโดยไม่กักตัวนั้นขึ้นอยู่กับเงื่อนไขหลัก 2 เรื่อง คือ 1.คนในพื้นที่ต้องได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 โดส ในสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 70% และจังหวัดภูเก็ตต้องมีตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็นศูนย์ ดังนั้นระหว่างนี้รัฐบาลและสาธารณสุขต้องเร่งควบคุมให้ภูเก็ตไม่มีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่โดยเร็วที่สุด

“ถ้าเราจะเปิดภูเก็ตแต่ยังมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ หรือถ้าคนในพื้นที่ได้รับการฉีดวัคซีน 70% แล้ว กระทรวงคงต้องหารือกับทางสาธารณสุขอีกครั้ง แต่คาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติคงไม่เชื่อมั่น ยังไม่อยากเดินทาง และอาจได้รับการตอบรับที่ไม่ดีเท่าที่ควร”

ส่วนอีก 9 จังหวัดที่อยู่ในแผนเปิด 1 ตุลาคมนั้น เงื่อนไขสำคัญคือ ต้องฉีดวัคซีนให้ประชาชนในพื้นที่ให้ครอบคลุม 70% ของจำนวนประชากร ส่วนจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่นั้นอาจไม่ต้องเป็นศูนย์แต่ก็ควรมีปริมาณต่ำกว่า 200 คนต่อวัน ซึ่งเป็นอัตราที่ต่างชาติน่าจะรับรู้ได้ว่าประเทศไทยสามารถควบคุมสถานการณ์ได้

“ที่ผ่านมาเริ่มมีกระแสความต้องการการเดินทางเข้าประเทศไทยของนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นระยะ โดยเฉพาะในตลาดยุโรป อาทิ สหราชอาณาจักร, เยอรมนี และกลุ่มสแกนดิเนเวีย ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องการเดินทางในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี”

เตรียม “บับเบิล” 5 ประเทศ

“รมว.พิพัฒน์” บอกด้วยว่า สิ่งที่สาธารณสุขของไทยทำอยู่ในขณะนี้ได้สื่อออกไปต่างประเทศ และทำให้ทั่วโลกเห็นถึงความตั้งใจในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการควบคุมในพื้นที่กรุงเทพฯ และเชื่อว่าจะทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงเหลือหลักร้อยได้ภายในสิ้นเดือนนี้ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของประเทศด้วย

และหากประเทศไทยสามารถควบคุมการแพร่ระบาดในภาพรวมได้ ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ปรับลงมาได้ต่ำกว่า 200 คนต่อวัน ทางกระทรวงจะพิจารณาทำ “แทรเวลบับเบิล” รายจังหวัดกับต่างประเทศอีกครั้ง หลังจากที่ได้ชะลอไปตอนเกิดการแพร่ระบาดระลอก 3

โดยประเทศที่สนใจร่วมทำแทรเวลบับเบิล แลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยวกับไทยและได้แจ้งความประสงค์ผ่านทางกระทรวงการต่างประเทศในช่วงที่ผ่านมามี 5 ประเทศ คือ สิงคโปร์, เวียดนาม, ลาว, มาเลเซีย และฮ่องกง

ดีเดย์กองทุนท่องเที่ยวต้นปี’65

เมื่อถามถึงมาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจท่องเที่ยว “รมว.พิพัฒน์” บอกว่า ประเด็นด้านการช่วยเหลือ เยียวยาผู้ประกอบการในภาคธุรกิจท่องเที่ยวนั้น กระทรวงได้ประสานกับทางกระทรวงการคลังและกระทรวงแรงงานไปแล้ว

โดยล่าสุดทางกระทรวงการคลังก็ได้ออกมาตรการช่วยเหลือในรูปแบบต่าง ๆ ภายใต้งบประมาณกว่า 2 แสนล้านบาทออกมาแล้ว อยากให้ผู้ประกอบการศึกษารายละเอียดและเข้าไปเจรจากับสถาบันการเงินต่าง ๆ ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลโดยตรง

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่กระทรวงการท่องเที่ยวฯต้องรีบดำเนินการขณะนี้คือ แนวทางการจัดตั้งกองทุนตามกฎหมายที่อนุญาตให้เก็บเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 300 บาทต่อคนเข้ากองทุน เพื่อนำไปใช้สำหรับช่วยเหลือนักท่องเที่ยว รวมถึงพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ฯลฯ ซึ่งคาดว่าน่าจะเริ่มดำเนินการได้ในช่วงต้นปี 2565 นี้

ยืนเป้ารายได้ 8.5 แสนล้าน

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯยังพูดถึงเป้าหมายปีนี้ด้วยว่า กระทรวงยังคาดว่าประเทศไทยน่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 3-4 ล้านคน และมีรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งจากต่างประเทศและในประเทศรวมทั้งหมดราว 8.5 แสนล้านบาท

โดยมองว่าปัจจัยที่จะช่วยขับเคลื่อนหลัก ๆ คือ การเปิดด่านชายแดน ซึ่งประกอบด้วย ลาว, เมียนมา, กัมพูชา และมาเลเซีย ซึ่งจากตัวเลขในปี 2562 พบว่า นักท่องเที่ยวจากประเทศเหล่านี้มีจำนวนเกือบ 10 ล้านคน รวมถึงลุ้นให้รัฐบาลจีนยอมให้ประชาชนออกเที่ยวต่างประเทศได้ในช่วงวันชาติจีนเดือนตุลาคมนี้ บวกกับไตรมาส 4 เป็นไฮซีซั่น การเดินทางของนักท่องเที่ยวยุโรป รวมถึงญี่ปุ่น, เกาหลีด้วย

ไม่เพียงเท่านี้ รัฐจะเดินหน้ากระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศกับ 2 โครงการใหญ่ คือ เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3 และทัวร์เที่ยวไทย หลังจากที่ ครม.มีมติให้เลื่อนออกไปทันทีหากจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงเหลือหลักร้อยคนในเดือนมิถุนายนนี้