“เพชร ไกรนุกูล” ขึ้นแท่น สานต่อแผนลงทุน “ดิ เอราวัณ กรุ๊ป”

บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวัที่ 14 พฤศจิกายน 2560 ที่ผ่านมาว่า “กมลวรรณ วิปุลากร” กรรมการผู้จัดการใหญ่ จะเกษียณอายุตามข้อบังคับการทำงานของบริษัทในวันที่ 31 ธันวาคม 2560 นี้

ดัน “เพชร ไกรนุกูล” รับไม้ต่อ

ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ได้รับทราบและได้แต่งตั้งให้ “กมลวรรณ” เป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการยุทธศาสตร์และการลงทุน และที่ปรึกษาคณะกรรมการพัฒนาผู้บริหารระดับสูงและกำหนดค่าตอบแทน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 เป็นต้นไป

พร้อมแต่งตั้ง “เพชร ไกรนุกูล” ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส และทำงานที่บริษัทมานานกว่า 13 ปี เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัท และมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 เป็นต้นไป

“กมลวรรณ วิปุลากร” กรรมการผู้จัดการใหญ่ ดิ เอราวัณ กรุ๊ป บอกว่า บริษัทได้กำหนดข้อบังคับการทำงานให้บุคลากรเกษียณที่อายุ 55 ปี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้บริหารรุ่นใหม่ได้ขึ้นมาบริหารองค์กร โดยตนยังคงดำรงตำแหน่งกรรมการของบริษัทจนครบวาระ หลังทำงานที่นี่มานานกว่า 9 ปี การปรับเปลี่ยนครั้งนี้นับเป็นการส่งไม้ต่อให้ “เพชร” เข้ามาสานต่อดำเนินงานตามโรดแมปแผนลงทุนระยะ 5 ปี (2559-2563) ของบริษัทที่ใช้งบฯลงทุนรวม 10,000 ล้านบาท เป็นการลงทุนในไทย 70% และฟิลิปปินส์ 30%

ลงทุนปีหน้าเพิ่มอีก 3 พัน ล.

สำหรับในปี 2561 นี้คาดว่าจะใช้งบฯ ลงทุนประมาณ 3,000 ล้านบาท หลังจากที่ใช้งบลงทุนในปี 2559-2560 ไปแล้วกว่า 2,000 ล้านบาท

นั่นหมายความว่า ตามแผนลงทุนนี้บริษัทยังมีงบฯเหลืออีกประมาณ 5,000 ล้านบาท สำหรับลงทุนในปี 2562-2563

“เพชร ไกรนุกูล” รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ดิ เอราวัณ กรุ๊ป เสริมว่า ในปี 2563 บริษัทตั้งเป้าหมายขยายจำนวนโรงแรมให้ได้ไม่ต่ำกว่า 85 โรงแรม มีห้องพักมากกว่า 10,000 ห้อง แบ่งเป็นโรงแรมในกลุ่มลักเซอรี่ มิดสเดล และอีโคโนมี่ 25 แห่ง, กลุ่มบัดเจต โฮเต็ล ภายใต้แบรนด์ฮ็อป อินน์ 50 แห่ง ส่วนอีก 12 แห่งเป็นโรงแรมในประเทศฟิลิปปินส์

โดยสิ้นปี 2560 นี้บริษัทจะมีโรงแรมรวม 52 โรงแรม คิดเป็นจำนวนห้องพัก 7,328 ห้อง ซึ่งปีนี้บริษัทได้เปิดให้บริการโรงแรม ฮ็อป อินน์ จำนวน 10 แห่งในไทย และ 1 แห่งในย่านมากาติ ฟิลิปปินส์

ส่วนปี 2561 บริษัทเตรียมเปิดให้บริการโรงแรมโนโวเทล แอนด์ ไอบิส สไตล์ นานา, ฮ็อป อินน์ ในไทย 6-8 แห่ง และในฟิลิปปินส์ 3 แห่ง กระจายไปในย่านอาเซียน่า, อะลาบัง และเกซอน ซิตี้

สำหรับปี 2562 นั้น นอกจากแบรนด์ฮ็อป อินน์ในไทยและฟิลิปปินส์แล้วยังมีแผนเปิดให้บริการโรงแรมเมอร์เคียว แอนด์ ไอบิส สุขุมวิท 24 ในช่วงปลายปีดังกล่าวด้วย

จ่อปักธง “ฮ็อป อินน์” ใน กทม.

“กมลวรรณ” ยังบอกด้วยว่า เป้าหมายใหญ่ของ “ฮ็อป อินน์” ซึ่งเป็นแบรนด์ที่บริษัทลงทุนและบริหารเองนั้นมีโอกาสขยายสูงกว่า 50 แห่งในอนาคต เพิ่มจากปีนี้ซึ่งจะมี 32 แห่ง เพราะบางจังหวัดมีศักยภาพและกระแสการเดินทางที่ดี สามารถขึ้นสาขาที่ 2 และ 3 ได้

อย่างไรก็ตาม บริษัทมีแนวคิดด้วยว่า เมื่อ “ฮ็อป อินน์” จับตลาดต่างจังหวัดและสร้างฐานได้ดีแล้ว ก็จะเริ่มขยายเข้ามาปักธงในกรุงเทพฯ โดยที่แรกนั้นจะตั้งอยู่บนถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ

“แผนงานและการลงทุนของ ดิ เอราวัณ กรุ๊ป ชัดเจนตรงที่เราเน้นความเป็นเจ้าของ ไม่เน้น asset light แต่เน้น right asset เพราะการลงทุนเอง ให้ผลตอบแทนที่มากกว่า”

เน้นลงทุน ปท.ที่ผลตอบแทนสูง

สำหรับแผนลงทุนโรงแรมในประเทศอื่น ๆ นั้น “กมลวรรณ” บอกว่า บริษัทจะลงทุนในประเทศที่ให้อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าลงทุนในไทยพอสมควร เพื่อช่วยลดความเสี่ยง

ยกตัวอย่างเช่น ฟิลิปปินส์ ทีมงานของบริษัทได้เข้าไปศึกษาตลาดเอง โดยได้คำแนะนำจากที่ปรึกษาในท้องถิ่น ทั้งมิติของข้อกำหนดที่เอื้อต่อการลงทุน การเติบโตทางเศรษฐกิจซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวปีละ 6-7% มีกระแสการเดินทางจากทั้งตลาดในประเทศและระหว่างประเทศที่ได้สายการบินต้นทุนต่ำ (โลว์คอสต์) เป็นตัวช่วย

“แม้ว่าปัจจุบันขนาดตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติของฟิลิปปินส์ยังเล็กมาก แต่ก็มีโอกาสในการเติบโต รัฐบาลฟิลิปปินส์วางเป้าหมายดึงนักท่องเที่ยวจีนมาช่วยขับเคลื่อนการท่องเที่ยว ซึ่งก็น่าจะทำให้ฟิลิปปินส์เป็นตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตดีในระยะยาว”

พร้อมย้ำว่า บริษัทมอนิเตอร์ตลอดว่าจะมีประเทศไหนที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าไทยและฟิลิปปินส์ โดยประเทศที่กำลังศึกษาตลาดอยู่คือ เวียดนาม ซึ่งพบว่าแม้ภาพรวมผลตอบแทนและการดำเนินงานจะยังสู้ไทยและฟิลิปปินส์ไม่ได้ แต่ก็นับว่าเป็นตลาดที่น่าสนใจ

คาดปีนี้รายได้รวมโตได้ 7%

สำหรับด้านผลประกอบการของบริษัทปีนี้ คาดมีรายได้เติบโต 7% เมื่อเทียบกับรายได้ปีที่แล้วซึ่งปิดตัวเลขไปกว่า 5,600 ล้านบาท ขณะที่กำไรงวด 9 เดือนแรก อยู่ที่ 344 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยกำไรปีที่แล้วปิดไปที่ 367 ล้านบาท

“กันยะรัตน์ กฤษณเทวินทร์” รองกรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่การเงิน ดิ เอราวัณ กรุ๊ป เสริมว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทยในไตรมาส 3 ของปี 2560 ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการเติบโตในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้

โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยในไตรมาสนี้เท่ากับ 8.8 ล้านคน ขยายตัว 6% จากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว และมีการเติบโตในทุกกลุ่มนักท่องเที่ยวหลัก

ซึ่งนักท่องเที่ยวที่มีการขยายตัวสูงที่สุด 3 อันดับแรกในไตรมาสนี้ ได้แก่ เกาหลีใต้ อินเดีย และจีน

ขณะที่ภาพรวมการท่องเที่ยวในประเทศตั้งแต่เดือน ม.ค.-ส.ค.ที่ผ่านมา มีคนไทยเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ 96 ล้านคน/ครั้ง ขยายตัว 3% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า

จากการเติบโตของภาพรวมอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 3/2560 บริษัทมีรายได้รวมจากการดำเนินงานเท่ากับ 1,448 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% และบันทึกกำไรสุทธิเท่ากับ 79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% จากไตรมาส 3/2559

หากมองภาพรวมในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้พบว่า บริษัทมีรายได้รวมจากการดำเนินงาน 4,413 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และมีกำไรสุทธิ 344 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา