สัมภาษณ์
จากการผ่อนปรนมาตรการด้านการเดินทางและปลดล็อกให้สายการบินกลับมาให้บริการตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา ทำให้บรรยากาศการเดินทางภายในประเทศของคนไทยมีแนวโน้มที่ดีขึ้น แม้ว่าในระยะแรกนี้ส่วนใหญ่ยังเป็นกลุ่มที่เดินทางเพื่อธุรกิจ หรือมีความจำเป็นต้องเดินทางเป็นหลักก็ตาม
“ประชาชาติธุรกิจ” ได้ร่วมสัมภาษณ์ “สันติสุข คล่องใช้ยา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยแอร์เอเชีย ถึงแผนการดำเนินงาน มุมมองต่อธุรกิจการบินและการท่องเที่ยวของไทย หลังจากกลับมาให้บริการการบินอีกครั้งไว้ดังนี้
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
แนวโน้มกระแสเดินทางฟื้น
“สันติสุข” บอกว่า หลังจากที่ “ไทยแอร์เอเชีย” กลับมาให้บริการเส้นทางบินภายในประเทศอีกครั้งตั้งเเต่ 3 กันยายนที่ผ่านมา โดยเริ่มต้นจาก 11 เส้นทาง (จากกรุงเทพฯ) ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต นครศรีธรรมราช หาดใหญ่ (สงขลา) ขอนแก่น อุดรธานี นราธิวาส อุบลราชธานี นครพนม และร้อยเอ็ด รวมกว่า 10 เที่ยวบินต่อวัน (สูงสุดเส้นทางละ 1 เที่ยวบินต่อวัน และบางเส้นทางประมาณ 3-4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์) ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้โดยสารทั้งคนไทยและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย
โดยพบว่าในช่วงครึ่งเดือนแรกของเดือนกันยายน “ไทยแอร์เอเชีย” มีอัตราบรรทุกผู้โดยสาร 70-80% และประมาณ 90-95% ในช่วงครึ่งเดือนหลัง ทำให้เดือนกันยายน ซึ่งเป็นเดือนแรกที่กลับมาให้บริการอีกครั้งมีอัตราการบรรทุกผู้โดยสารเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 87%
ขยับเพิ่มเที่ยวบินรับนโยบายรัฐ
ดังนั้น ในเดือนตุลาคมนี้ “ไทยแอร์เอเชีย” จึงได้เพิ่มเส้นทางบินใหม่อีก 9 เส้นทาง คือ พิษณุโลก น่าน เลย สกลนคร สุราษฎร์ธานี กระบี่ ตรัง และเส้นทางบินข้ามภาค 2 เส้นทาง ซึ่งจะเปิดในวันที่ 15-16 ตุลาคมนี้คือ เชียงใหม่-ภูเก็ต และเชียงใหม่-หัวหิน รวมเป็น 20 เส้นทางบิน หรือประมาณ 30 เที่ยวบินต่อวัน
ทั้งนี้ เพื่อรองรับการเดินทางท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ รวมทั้งตอบสนองนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่เดินหน้าโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” เฟส 3 และ “ทัวร์เที่ยวไทย” ในช่วงตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมนี้เป็นต้นไปด้วย
ท่องเที่ยวฟื้นตั้งแต่ Q4 ปีนี้
“ในเดือนกันยายนที่ผ่านมานั้น ‘ไทยแอร์เอเชีย’ มีการใช้เครื่องบินอยู่ 5 ลำ ปัจจุบันใช้เพิ่มเป็น 10 ลำ และคาดว่าจะมีอัตราการใช้เครื่องบินเพิ่มขึ้นเป็น 20 ลำในเดือนพฤศจิกายน และจำนวน 30 ลำในเดือนธันวาคม จากจำนวนเครื่องที่มีอยู่ทั้งหมดในปัจจุบันจำนวน 60 ลำ”
“ซึ่งมีแผนส่งคืนตามสัญญา 5 ลำในปีนี้ โดยส่วนใหญ่จะเป็นการใช้เพื่อเพิ่มความถี่เที่ยวบินในเส้นทางบินที่มีดีมานด์จำนวนมากเป็นหลัก เนื่องจากจำนวนเส้นทางบินที่เปิดให้บริการอยู่ในขณะนี้ค่อนข้างครอบคลุมจังหวัดหลัก ๆ แล้ว เหลือเพียงจังหวัดขนาดเล็ก อาทิ ชุมพร ระนอง เป็นต้น”
“สันติสุข” บอกด้วยว่า จากแนวโน้มดังกล่าวนี้น่าจะทำให้ “ไทยแอร์เอเชีย” เปิดให้บริการได้ในอัตราใกล้เคียงกับในช่วงปลายปี 2563 ที่มีสัดส่วนการให้บริการเส้นทางบินภายในประเทศกลับมาเกือบ 100% เมื่อเทียบกับสถานการณ์ในปี 2562 (ช่วงก่อนวิกฤตโควิด) โดยคาดว่าจะทำให้มีอัตราการบรรทุกผู้โดยสาร หรือ cabin factor ไม่ต่ำกว่า 80% ในไตรมาส 4/2564 นี้ และคาดว่าสายการบินอื่น ๆ ก็น่าจะอยู่ในสัดส่วนใกล้เคียงกัน
พร้อมรับนโยบาย “เปิดประเทศ”
“ช่วงก่อนวิกฤตเราให้บริการเส้นทางในประเทศและเส้นทางระหว่างประเทศในสัดส่วนครึ่ง ๆ หรือ 50 : 50 แต่การกลับมาของการท่องเที่ยวในปีนี้ยังคงเป็นตลาดในประเทศเป็นหลัก ซึ่งที่คาดว่าจะกลับมาให้บริการได้ 100% นั่นคือ 100% ในส่วนของตลาดในประเทศ หรือ domestic demand ส่วนตลาดต่างประเทศคงต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่ง”
พร้อมย้ำว่า ไม่เพียงแต่ตลาดภายในประเทศเท่านั้น ปัจจุบัน “ไทยแอร์เอเชีย” ก็ได้เตรียมพร้อมสำหรับการรองรับนโยบายเปิดประเทศด้วยเช่นกัน เพียงแต่ยังต้องรอดูความชัดเจนของรัฐบาลว่าจะเปิดให้สายการบินภายในประเทศทำการบินเส้นทางระหว่างประเทศได้เมื่อไหร่
โดยในเบื้องต้นคงต้องโฟกัสในตลาดที่แผน travel bubble ของรัฐเป็นหลัก
ลุ้นปลดล็อกขายตั๋วได้ 100%
ขณะเดียวกันก็หวังด้วยว่ารัฐบาลโดยศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย หรือ ศบค.จะพิจารณาเห็นชอบข้อเสนอของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ที่มีแผนจะเสนอให้สายการบินสามารถขายตั๋วที่นั่งภายในเครื่องบินจากปัจจุบันที่อนุญาตให้ 75% เป็น 100% ภายในเดือนตุลาคมนี้ เพื่อเป็นการเตรียมคาพาซิตี้รองรับการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมนี้เป็นต้นไป
หาก ศบค.เห็นชอบก็จะทำให้ต้นทุนต่อที่นั่งของสายการบินลดลงไปราว 20-30% ซึ่งจะเป็นตัวแปรหนึ่งที่ช่วยให้สายการบินสามารถมีกระแสเงินสดติดลบลดลง และทำให้มีจำนวนผู้โดยสารปีนี้เพิ่มขึ้น โดยคาดว่าปีนี้จะมีจำนวนผู้โดยสารประมาณ 4 ล้านคน ลดลงจากปีก่อนที่มี 9.49 ล้านคน และ 20 ล้านคนในปี 2562
“ซอฟต์โลน” ยังเงียบ
สำหรับกรณีของสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือซอฟต์โลนที่นำเสนอต่อกระทรวงการคลังไปแล้วนั้น “สันติสุข” บอกว่า ล่าสุดยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด แต่ตราบใดที่รัฐบาลยังไม่ปฏิเสธหรือบอกว่าไม่ได้ ทางบริษัทก็ยังคงมีความหวังอยู่
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของสมาคมสายการบินฯ ได้เข้าหารือกับ รมว.คลังถึงประเด็นเงินกู้เพื่อปลดล็อกเงื่อนไขของแบงก์ชาติที่ระบุว่าให้แต่ละบริษัทหารือกับสถาบันการเงินเดิมที่มีเงินกู้อยู่ โดยให้สามารถกู้เพิ่มได้ในอัตรา 30% นั้น แบงก์ที่บริษัทกู้อยู่ก็ไม่อนุมัติเงินกู้เพิ่ม ซึ่งที่ผ่านมา รมว.คลังรับจะไปดูว่าจะแก้เงื่อนไขให้สถาบันการเงินอื่นให้เงินกู้ได้หรือไม่
ดิว “ทุนใหม่” อยู่ในกระบวนการ
ซีอีโอสายการบินไทยแอร์เอเชีย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีกลุ่มทุนใหม่ที่มีแผนจะเข้ามาร่วมลงทุน พร้อมทั้งนำบริษัทไทยแอร์เอเชีย (TAA) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แทนบริษัท แอร์เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV รับกลุ่มทุนใหม่ด้วยว่า ทุกอย่างยังเป็นไปตามแผนเดิมทั้งหมด แต่วิธีการอาจมีเปลี่ยนแปลงบ้าง
โดยเงินทุนใหม่ที่จะเข้ามานั้นจะมาจากกลุ่มทุนเดิมและอาจมีจำนวนผู้ลงทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการขออนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.), ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.)
หากหน่วยงานดังกล่าวที่เกี่ยวข้องเห็นด้วยก็จะนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) เพื่ออนุมัติ จากนั้นกระบวนการทั้งหมดของทุนใหม่ที่จะเข้ามาจะแล้วเสร็จภายใน 90 วัน
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่รัฐบาลเปิดให้กลับมาทำการบินได้ ทำให้ “ไทยแอร์เอเชีย” เริ่มมีกระแสเงินสดเข้ามาหมุนเวียนบ้าง แต่ก็ยังไม่เพียงพอ เนื่องจากตลาดต่างประเทศ ซึ่งมีสัดส่วนถึง 50% นั้นยังไม่สามารถเปิดให้บริการได้ และยังต้องรอความชัดเจนของรัฐบาลต่อไป