“แสนสิริ” ดัน The Standard สู่ “โกลบอลแบรนด์” ปักธงทั่วโลก

The standard
สัมภาษณ์

หลังจากที่แสนสิริเข้าร่วมทุนในสแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล (Standard International) บริษัทแม่ของเครือเดอะ สแตนดาร์ด ผู้บริหารโรงแรมภายใต้แบรนด์ The Standard ในสัดส่วน 62% (ผู้ถือหุ้นใหญ่) เมื่อ 3-4 ปีก่อน

ล่าสุด “ประชาชาติธุรกิจ” ได้ร่วมสัมภาษณ์ “อุทัย อุทัยแสงสุข” ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) และ “บริพัตร หลุยเจริญ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท สแตนดาร์ดเอเชีย จำกัด ถึงนโยบาย ทิศทางการดำเนินงาน รวมถึงแผนการขยายเครือข่ายโรงแรมภายใต้การบริหาร ไว้ดังนี้

ย้ำ “ผู้นำ” ด้านไลฟ์สไตล์

“อุทัย” บอกว่า กลุ่มแสนสิริขยายการลงทุนสู่ธุรกิจกลุ่มฮอสพิทาลิตี้ด้วยการเข้าถือหุ้นในบริษัทแม่ของเครือเดอะ สแตนดาร์ด ผู้บริหารโรงแรมภายใต้แบรนด์ The Standard ในสัดส่วน 62% โดยมองว่า เดอะ สแตนดาร์ด เป็นแบรนด์โรงแรมที่เน้นด้านไลฟ์สไตล์ ซึ่งเป็นไดเร็กชั่นเดียวกับแบรนด์ของแสนสิริที่เป็นผู้นำไลฟ์สไตล์ในธุรกิจบ้านและคอนโดฯ เพื่อย้ำความเป็น “ผู้นำ” ด้านไลฟ์สไตล์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

อุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)
อุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)

โดยปัจจุบัน เครือเดอะ สแตนดาร์ด บริหารแบรนด์อยู่จำนวน 3 แบรนด์ ประกอบด้วย 1.เดอะ สแตนดาร์ด เป็นแบรนด์ที่เน้นประสบการณ์ ศิลปะ แฟชั่น และไลฟ์สไตล์ โดยส่วนใหญ่อยู่สหรัฐอเมริกา ยุโรป 2.เดอะเภรี แบรนด์สำหรับโรงแรมขนาดเล็กที่ปัจจุบันเปิดให้บริการ 2 แห่งในประเทศไทย คือ หัวหิน (ประจวบคีรีขันธ์) และเขาใหญ่ (นครราชสีมา) และ 3.บังก์เฮาส์ แบรนด์โรงแรมขนาดเล็ก ปัจจุบันทั้งหมดอยู่ในสหรัฐอเมริกา

ขยับสู่ “โกลบอลแบรนด์”

“อุทัย” บอกด้วยว่า ก่อนหน้าที่แสนสิริเข้าร่วมทุนนั้น เครือเดอะ สแตนดาร์ด บริหารโรงแรมอยู่จำนวน 5 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นโรงแรมในสหรัฐอเมริกาและยุโรปเท่านั้น แต่ “แสนสิริ” มองว่า ธุรกิจโรงแรมในทุกภูมิภาคทั่วโลกมีศักยภาพและมีโอกาสในการเติบโตได้อีกมาก จึงพยายามขยายตลาดในภูมิภาคเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย

ปัจจุบันเครือเดอะ สแตนดาร์ด ทยอยขยายตลาดเข้าสู่ภูมิภาคเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตามลำดับ อาทิ มัลดีฟส์, สิงคโปร์ รวมถึงประเทศไทย ซึ่งมีแผนเปิดให้บริการในอนาคตอันใกล้นี้ 2 แห่งคือ เดอะ สแตนดาร์ด หัวหิน ซึ่งจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ธันวาคมนี้ และที่อาคารมหานคร กรุงเทพฯ ประมาณเดือนพฤษภาคม 2565 นี้

นอกจากนี้ ยังมีแผนเข้าบริหารโรงแรมในอีกหลายประเทศที่เป็นเดสติเนชั่นหลัก ๆ ทั่วโลก อาทิ จีน, ญี่ปุ่น, ฮ่องกง, ออสเตรเลีย, เกาหลี, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ดูไบ เวียดนาม เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อผลักดันให้เดอะ สแตนดาร์ด ขยับสู่ “โกลบอลแบรนด์” หรือแบรนด์ระดับโลกให้ได้ภายในอีก 2-3 ปีข้างหน้านี้

“ตอนนี้แผนการก้าวสู่โกลบอลแบรนด์ของเราเดินมาได้ประมาณแค่ 20-30% ของเป้าหมาย เพราะเราเริ่มจากตลาดสหรัฐอเมริกา ขยายสู่อังกฤษ และขยับออกสู่ตลาดยุโรป เช่น สเปน อิตาลี เป้าหมายต่อไปคือ โปรตุเกส, เยอรมนี, ฮอลแลนด์ รวมถึงในอีกหลายประเทศในภูมิภาคเอเชีย และประเทศในภูมิภาคอาเซียนด้วย”

“ท่องเที่ยว” เสาหลักเศรษฐกิจ

เมื่อถามถึงความเชื่อมั่นต่อภาคธุรกิจท่องเที่ยว ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ “แสนสิริ” บอกว่า สำหรับประเทศไทยนั้นธุรกิจการท่องเที่ยวยังถือว่าเป็น “ขาหลัก” ในการสร้างเศรษฐกิจและสร้างรายได้เข้าประเทศ ซึ่งก่อนหน้านี้มีสัดส่วนของ GDP ถึงประมาณ 20%

โดยส่วนตัวจึงมั่นใจว่า ภาคธุรกิจท่องเที่ยวของไทยนับจากนี้จะทยอยฟื้นตัวกลับมาเช่นเดียวกับภาพรวมในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก

“ในปีก่อนที่ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามากว่า 39 ล้านคนต่อปีนั้น ไม่เพียงแต่ทำให้ภาคธุรกิจในเซ็กเตอร์การท่องเที่ยวเท่านั้นที่มีอัตราการเติบโต ธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ เช่น บ้าน คอนโดมิเนียม ก็มียอดขายที่ดีขึ้นด้วย เพราะพฤติกรรมชาวต่างชาติไม่เพียงแค่อยากมาเที่ยวประเทศไทย แต่ยังอยากซื้อที่พักอาศัยในประเทศไทยด้วย”

เปิด The Standard หัวหิน 1 ธ.ค.

ขณะที่ “บริพัตร หลุยเจริญ” ผู้จัดการทั่วไป สแตนดาร์ด เอเชีย บอกว่า “เดอะ สแตนดาร์ด” เปิดตัวโรงแรมแห่งแรกเมื่อปี 2542 ในสหรัฐอเมริกา เป็นแบรนด์ที่มุ่งสร้างประสบการณ์ใหม่สำหรับการเข้าพัก มีนโยบายขยายธุรกิจด้วยการรับบริหารเป็นหลัก โดยมีแบรนด์ในเครือ 3 แบรนด์ คือ เดอะ สแตนดาร์ด, เดอะเภรี และบังก์เฮาส์

บริพัตร หลุยเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สแตนดาร์ดเอเชีย จำกัด
บริพัตร หลุยเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สแตนดาร์ดเอเชีย จำกัด

สำหรับประเทศไทยนั้น โรงแรมแห่งแรกของแบรนด์ The Standard กำลังจะเปิดให้บริการที่หัวหิน (ประจวบคีรีขันธ์) ภายใต้ชื่อ The Standard Hua Hin และเป็นรีสอร์ตติดชายทะเลแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลงทุนโดยกลุ่มบริษัทแสนสิริ มูลค่า 800 ล้านบาท มีกำหนดเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ธันวาคม 2564 นี้

จากนั้นมีแผนเปิดโรงแรมแห่งที่ 2 ที่อาคารมหานคร (สาทร) กรุงเทพฯ ภายใต้ชื่อ The Standard Bangkok Mahanakhon ในช่วงประมาณเดือนพฤษภาคม 2565

“บริพัตร” ให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วยว่า สำหรับ The Standard Hua Hin นั้นมีห้องพัก 178 ห้อง และวิลล่า 21 ห้อง รวมเป็น 199 ห้อง เสริมด้วยสระว่ายน้ำตามลักษณะของต้นแบบอย่าง The Standard Spa, Miami Beach ด้วยดีไซน์อันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ซ้ำใคร ตั้งอยู่ท่ามกลางภูมิทัศน์อันสวยงามของธรรมชาติ และอ่าวทะเลไทย ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหัวหิน อีกทั้งยังใกล้สถานที่ท่องเที่ยว

พร้อมห้องอาหารและบาร์ Lido ให้บริการอาหารสไตล์อิตาเลียน และ The Juice Cafe เครื่องดื่มสำหรับคนรักสุขภาพ และ The Spa ที่พลิกโฉมประสบการณ์การทำสปาแบบเดิม ๆ รวมถึงกิจกรรมซิกเนเจอร์อย่าง Singing Bowl คลื่นเสียงบำบัดมอบความผ่อนคลายจากเสียงก้องกังวานของขัน และ Mud Lounge การพอกโคลนสีสันนำเข้าจากประเทศแคริบเบียน ตามธาตุทั้ง 4

จึงเชื่อว่าโรงแรมแห่งนี้จะเป็นจุดหมายใหม่ของนักเดินทางสําหรับกลุ่มลูกค้าคนไทยผู้ชื่นชอบการพักผ่อนอย่างสร้างสรรค์ และกลุ่มลูกค้าที่เป็นแฟนคลับของ The Standard ทั่วโลก

เตรียมขยายสู่ภูเก็ต-สมุย-พัทยา

ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ “แสนสิริ” ยังบอกด้วยว่า นอกจากทำเลหัวหินและกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นโลเกชั่นหลักสำหรับการท่องเที่ยวแล้ว “เดอะ สแตนดาร์ด” ยังมีแผนขยายเครือข่ายโรงแรมไปยังเมืองท่องเที่ยวอื่น ๆ ของประเทศอย่างต่อเนื่อง อาทิ ภูเก็ต สมุย พัทยา เป็นต้น

ซึ่งที่ผ่านมามีนักลงทุนที่เป็นเจ้าของพร็อพเพอร์ตี้หลายรายเข้ามาเจรจาพูดคุยกันไปบ้างแล้ว คาดว่าน่าจะสรุปได้เร็ว ๆ นี้

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรองรับการเปิดประเทศและการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างประเทศอีกครั้ง หลังจากที่ประชากรในหลายประเทศได้รับการฉีดวัคซีนกันเรียบร้อยแล้ว

และบอกด้วยว่า สำหรับโรงแรมเดอะ สแตนดาร์ด หัวหิน นั้นคาดว่าในเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งเป็นเดือนแรกในการเปิดให้บริการจะมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยประมาณ 40% และเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 60-70% ในปีหน้า และมีรายได้แตะ 500 ล้านบาทต่อปี ตามแนวโน้มฟื้นตัวและสัญญาณบวกเปิดประเทศ

ขณะที่โรงแรม 2 แห่งภายใต้แบรนด์เดอะ เภรี ที่หัวหิน และเขาใหญ่ ที่กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งตั้งแต่ 1 กันยายนที่ผ่านมา ก็เริ่มมีอัตราการเข้าพักที่ดีต่อเนื่อง

พร้อมยังเชื่อด้วยว่า นับจากนี้เป็นต้นไป ภาพรวมการท่องเที่ยวของไทยและทั่วโลกจะก้าวสู่ช่วงของการ rebound หรือทยอยพลิกฟื้นแน่นอน เพราะที่ผ่านมาได้ผ่านจุดที่แย่ที่สุดมาแล้ว…