AWC สวนกระแสอุตฯท่องเที่ยว ปี’64 กวาดกำไร 861 ล้านบาท

AWC

AWC ประกาศผลประกอบการ ไตรมาส 4/2564 มีกำไรสุทธิตามงบการเงิน 967 ล้านบาท ดันตัวเลขทั้งปี’64 มีกำไรสุทธิรวม 861 ล้านบาท ชี้หลังเปิดประเทศสัญญาณบวกฟื้นกลับมาแข็งแกร่ง พร้อมเดินหน้าพัฒนาโครงการคุณภาพ เพื่อเสริมศักยภาพให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทย

วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2565 นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2564 ว่า บริษัทมีรายได้รวมตามงบการเงิน 3,086 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.6 จากไตรมาสก่อนหน้านี้ มีกำไรสุทธิตามงบการเงิน 967 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 100 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

โดยในช่วงไตรมาสที่ 4/2564 ที่ผ่านมา ได้รับผลดีจากนโยบายผ่อนคลายล็อกดาวน์และการเปิดประเทศในเดือนพฤศจิกายน ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศเริ่มพื้นตัว และการดำเนินธุรกิจของบริษัทเริ่มกลับเข้าสู่สภาพใกล้เคียงปกติ อีกทั้งยังมีสัญญาณดีจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่มีแนวโน้มคลี่คลายขึ้น

นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับกำไรจากการรวมมูลค่ายุติธรรมของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย ส่งผลให้ผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2564 บริษัทมีกำไรสุทธิตามงบการเงินเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 100 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และหากเทียบกับไตรมาส 3/2564 กำไรสุทธิของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 40.7 แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการพื้นตัวของธุรกิจและความพร้อมในการกลับมาเติบโตอย่างก้าวกระโดดของบริษัท

“ไตรมาส 4/2564 เป็นไตรมาสที่ผลประกอบการของเราดีที่สุดในรอบปี ถือเป็นสัญญาณบวกของการเริ่มฟื้นตัวกลับมาของเศรษฐกิจในภาพรวม เราจึงมีความมั่นใจอย่างมากว่า หากสถานการณ์ทุกอย่างคลี่คลายในปี 2565 นี้ ทุกกลุ่มธุรกิจของ AWC จะกลับมาฟื้นตัวและเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด

ดังนั้นตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาเราจึงมุ่งมั่นพัฒนากระบวนการดำเนินงานในทุกส่วนเพื่อให้บริษัทมีความแข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นพร้อมทั้งลงทุนพัฒนาโครงการคุณภาพใหม่ ๆ และร่วมมือกับพันธมิตร เพื่อเตรียมพร้อมรองรับการกลับมาของเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย”

ทั้งนี้ หากรวมผลการดำเนินงานรวมทั้งปี 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิตามงบการเงินจำนวน 861 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 192.5 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยในช่วงปี 2563-2564 ที่ผ่านมาบริษัทได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ COVID-19 อย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมุ่งพัฒนาโครงการคุณภาพเพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าและเป็นทรัพย์สินที่สามารถสร้างกระแสเงินสดเป็นบวกสะท้อนถึงการเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ของบริษัทให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยได้แรงเสริมจากการร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรระดับโลกที่แข็งแกร่ง ที่สามารถดึงฐานลูกค้าศักยภาพสูง ให้กลับมาเดินทางท่องเที่ยวได้ทันทีหลังจากสถานการณ์มีแนวโน้มที่ดีขึ้น

บริษัทมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ด้วยการเปิดโรงแรมคอร์ทยาร์ด แมริออท ภูเก็ต ทาวน์ ภูเก็ตให้เป็นจุดหมายปลายทางของโลก เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวทั่วโลกสู่จังหวัดภูเก็ต และเปิดให้บริการโรงแรมเลอ เมอริเดียน กรุงเทพ รูปโฉมใหม่หลังการปรับปรุง

พร้อมเปิดตัวห้องอาหารไฮไลต์แห่งใหม่ “โรลลิงริบส์ บริว บาร์แอนด์บาร์บีคิว” ใจกลางย่านสุรวงศ์-สีลม เพื่อสร้างประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ใหม่ให้ผู้บริโภค ตอกย้ำจุดยืนกรุงเทพมหานคร จุดหมายปลายทางแห่งการทำงานและพักผ่อนระดับโลก ซึ่งได้รับการตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดี

นอกจากนี้ AWC ยังมีโครงการคุณภาพ ที่พร้อมให้บริการนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ในปี 2565 ได้แก่ โครงการเดอะ ล้ง 1919 ริเวอร์ไซด์ เฮอริเทจ เดสติเนชั่น, โรงแรมมีเลีย เชียงใหม่ และโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง

นางวัลลภากล่าวด่วยว่า ขณะเดียวกันบริษัทยังเสริมโอกาสการเติบโต ด้วยแผนการจัดตั้งองค์กรการร่วมทุน (Investment Vehicle) เพื่อเข้าร่วมลงทุนในธุรกิจโรงแรมในแหล่งท่องเที่ยวของประเทศไทย มีมูลค่าเงินลงทุนรวมสูงสุดประมาณ 500 ล้านเหรียญสหรัฐหรือเทียบเท่าประมาณ 16,500 ล้านบาท

โดยบริษัทจะเข้าร่วมลงทุนประมาณร้อยละ 15 – 60 ของมูลค่าเงินลงทุนทั้งหมด และส่วนเงินลงทุนที่เหลือจะเป็นการร่วมลงทุนจากผู้ลงทุนสถาบันชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศซึ่งอยู่ในช่วงศึกษาโครงสร้างและสัดส่วนการเข้าลงทุนเพื่อผลประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ถือหุ้น

โดยบริษัทเห็นว่าการจัดดำเนินการครั้งนี้จะเป็นการวางรากฐานในการสร้างแหล่งรายได้ใหม่ โดยมาจากค่าธรรมเนียมในการพัฒนาและบริหารโครงการที่จะได้รับจากองค์กรการร่วมทุน (Investment Vehicle) นี้ ด้วยศักยภาพของกลุ่ม AWC และความมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการท่องเที่ยวไทย พัฒนาชุมชุมโดยรอบ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยต่อไป