เอสโฮเทลเปิดแผนลงทุน 3 ปี 7.3 พันล้าน ขยายพอร์ตดันรายได้โต 3 เท่า

“เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท” เผยอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั่วโลกกำลังฟื้นตัว ธุรกิจโรงแรมกลับมาคึกคักอีกครั้ง ทุ่มงบฯ 3 ปี รวม 7.3 พันล้าน ขยายการลงทุนสร้างการเติบโตเพิ่ม 3 เท่าในปี 2567 ตั้งเป้าปีนี้กวาดยอดขาย 8.2 พันล้านขึ้นแท่นผู้ประกอบการรายได้สูงสุดอันดับ 2 ของไทย

นายเดิร์ก เดอ คุยเปอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส โฮเทล แอนด์รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR เครือบริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั่วโลกกำลังฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจโรงแรมจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยในส่วนของ SHR นั้นบริษัทมีแผนลงทุนต่อเนื่องในช่วง 3 ปีนี้ (2565-2567) มูลค่ารวม 7,300 ล้านบาท เพื่อขยายการลงทุนสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

โดยแบ่งเป็นงบฯลงทุนสำหรับเสริมแกร่งกลยุทธ์หมุนเวียนและต่อยอดการลงทุน (asset rotation) ตลอดจนการลงทุนในการก่อสร้าง SO/Maldives ซึ่งมีแผนเปิดตัวโครงการในปี 2566 มูลค่ารวม 2,800 ล้านบาท และงบฯลงทุนเพื่อซื้อและควบรวมกิจการ (merger and acquisition) เพิ่มเติมอีกประมาณ 4,500 ล้านบาท

“ในอีก 3 ปีข้างหน้าเรามุ่งเดินหน้าพัฒนาและขยายธุรกิจในทุกรูปแบบ เพื่อทำให้บริษัทเติบโตต่อไปในอนาคตหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย โดยจะยังคงรักษาพอร์ตโรงแรมให้อยู่ในระดับสมดุลอยู่เสมอ ปลดล็อกทรัพย์สินที่เต็มมูลค่าแล้วเพื่อปรับปรุงทรัพย์สินในพอร์ตที่มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติมได้อย่างมีนัยสำคัญ” นายเดิร์กกล่าว

และว่า ตามแผนการดำเนินงานของบริษัทได้เริ่มดำเนินการปรับพอร์ตโรงแรมในสหราชอาณาจักรเป็นพอร์ตแรก ส่วนแผนการลงทุนใหม่จะขยายธุรกิจผ่านการซื้อและควบรวมกิจการ โดยกำลังมองหาโรงแรมในแถบชายฝั่งทะเลเอเชีย-แปซิฟิก ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และมหาสมุทรอินเดีย

ขณะเดียวกัน ยังมุ่งเน้นการเป็นผู้ประกอบการและบริหารธุรกิจโรงแรมภายใต้แบรนด์ของตัวเอง รวมทั้งจับมือกับพันธมิตรผู้ประกอบการโรงแรมชั้นนำระดับนานาชาติเพื่อขยายธุรกิจ ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่าบริษัทจะสามารถเติบโตเป็น 3 เท่าภายในปี 2567

“สำหรับปี 2565 เรามั่นใจว่าจะก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบการโรงแรมที่มีรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศไทย ด้วยรายได้รวมประมาณ 8,200 ล้านบาทหรือเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 88% หรือ 2 เท่าของปี 2564 ที่มีรายได้รวม 4,500 ล้านบาท” นายเดิร์กกล่าว

โดยปัจจัยหนุน คือ การที่บริษัทมีพอร์ตโรงแรมที่แข็งแกร่งในจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมสูงสุดทั้ง 5 แห่งทั่วโลก โดยเฉพาะพอร์ตโรงแรมในสหราชอาณาจักรและสาธารณรัฐมัลดีฟส์ ที่คาดว่าจะสร้างรายได้เป็นสัดส่วนของรายได้รวมทั้งหมด ร้อยละ 44 และ 28 ตามลำดับ

และทุกภูมิภาคล้วนเป็นตลาดที่มีแนวโน้มกลับมาเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในสหราชอาณาจักรนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ารายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPAR) จะฟื้นตัวกลับมาเท่ากับปี 2562 (ก่อนโควิด-19) ขณะที่ความนิยมในการจัดงานอีเวนต์ต่าง ๆ ของอุตสาหกรรมไมซ์ ซึ่งกว่าร้อยละ 50 จะเป็นการจัดงานแบบพบปะกันของผู้เข้าร่วมงานที่โรงแรมแล้ว

ส่วนโรงแรมในสาธารณรัฐมัลดีฟส์คาดว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งเช่นกัน เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวทยอยเดินทางท่องเที่ยวมายังสาธารณรัฐมัลดีฟส์อย่างต่อเนื่อง โดยผลกระทบจากประเด็นความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศที่กำลังเกิดขึ้นเป็นไปอย่างจำกัด โดยเห็นได้จากนักท่องเที่ยวที่มาเยือนในห้วงเวลาดังกล่าวมีจำนวนทั้งสิ้น 168,491 คน ซึ่งมากกว่าช่วงเวลาเดียวกันในปี 2563-2564 เกินกว่าร้อยละ 45

ทั้งนี้ เป็นผลจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวจากประเทศทางแถบยุโรปและตะวันออกกลาง และรัฐบาลของสาธารณรัฐมัลดีฟส์คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวในปี 2565 ประมาณ 1.6 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 21 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ยังคาดว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศอื่น ได้แก่ สาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิ สาธารณรัฐมอริเชียส และประเทศไทย จะยังสามารถเติบโตต่อไปเนื่องจากรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ เริ่มออกมาตรการผ่อนปรนด้านการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวภายหลังการแพร่ระบาด

ขณะเดียวกัน การปรับโฉมโรงแรมใหม่และการสร้างมูลค่าเพิ่มในด้านต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของแขกผู้เข้าพักยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสริมที่ช่วยส่งอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืนเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 20-25% ให้กับบริษัทในปี 2565 รวมทั้งการจัดแพ็กเกจที่พัก พร้อมด้วยกิจกรรมด้านการท่องเที่ยว เช่น การมีศูนย์การเรียนรู้ทางทะเลที่ทราย พีพีไอส์แลนด์ วิลเลจ หรือศูนย์การเรียนรู้เชิงวัฒนธรรมมัลดีฟส์ที่โครงการครอสโร้ดส์ มัลดีฟส์ ก็คาดว่าจะช่วยสร้างรายได้เฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นด้วย