ทัวร์ “ไทยเที่ยวนอก” สุดคึกคัก คิววีซ่ายาวเหยียดคาดปีนี้พุ่ง 1.2 ล้านคน

ทัวร์ไทย

คนไทยแห่ไปเที่ยวต่างประเทศหนุนบริษัททัวร์หวนรีสตาร์ตธุรกิจ เร่งทำแพ็กเกจเสนอขายลูกค้ามือระวิง ขาใหญ่ “ควอลิตี้ เอ็กซ์เพรส” เผยตลาดกลับมาคึกคัก คิวขอวีซ่ายาวเหยียดยันสิ้นปี โอกาสทองตลาดระยะใกล้ ด้าน “อินสปิริต ฮอลิเดย์” ชี้แข่งขันสูง หวั่นสงครามราคาทุบรายเล็ก ด้าน “โชติช่วง ศูรางกูร” อุปนายกสมาคม TTAA คาดปี’65 คนไทยเที่ยวนอก 1.2 ล้านคน

นายสุรวัช อัครวรมาศ รองประธานสภาอุตสาหากรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากนโยบายเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทยด้วยการทยอยผ่อนคลายมาตรการมาอย่างต่อเนื่องนั้น นอกจากจะส่งเสริมให้ชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยแล้ว ขณะเดียวกันยังทำให้คนไทยให้ความสนใจไปเที่ยวต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นด้วย

ไทยเที่ยวนอกหนุน บ.ทัวร์ฟื้น

โดยจากการมอนิเตอร์สถานการณ์ของผู้ประกอบการท่องเที่ยว โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทนำเที่ยวตลาดนำคนไทยไปเที่ยวต่างประเทศ (outbound) จากที่ปิดบริษัทชั่วคราวกันมากว่า 2 ปี ได้ทยอยกลับมาทำงานและนำเสนอขายแพ็กเกจนำเที่ยวต่างประเทศกันอย่างคึกคัก

“คนไทยเริ่มทยอยไปเที่ยวต่างประเทศมาสักระยะแล้ว เริ่มจากเส้นทางยุโรป อเมริกา และเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อรัฐบาลยกเลิก Test & go เมื่อพฤษภาคม และยกเลิก Thailand Pass สำหรับคนไทยเมื่อ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา” นายสุรวัชกล่าว และว่า จากแนวโน้มนี้ทำให้บริษัทนำเที่ยวบางส่วนกลับมารีสตาร์ตธุรกิจกันอีกครั้ง เร่งทำแพ็กเกจทัวร์เสนอขายลูกค้า หวังกลับมาพลิกฟื้นกันอีกครั้งหลัง

คิวขอวีซ่ายาวเหยียดยันสิ้นปี

สอดรับกับ นายธนพล ชีวรัตนพร เจ้าของบริษัท แตงโมทัวร์ จำกัด และบริษัท ควอลิตี้ เอ็กซ์เพรส จำกัด กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้ตลาดทัวร์เอาต์บาวนด์ หรือคนไทยเที่ยวต่างประเทศ เริ่มกลับมาคึกคักและเดินทางกันมากขึ้น แต่อุปสรรคใหญ่คือ ระบบการขอวีซ่าที่ต้องใช้เวลานาน เช่น สหรัฐอเมริกา ปัจจุบันคิวขอวีซ่ายาวถึงสิ้นปีแล้ว หรือประเทศในกลุ่มยุโรปบางประเทศรอคิวกันนานเป็นเดือน ซึ่งปัญหานี้ทำให้บริษัทนำเที่ยวตั้งเป้ายอดขายยาก

“เราเข้าใจว่าตลาดเพิ่งเปิด ระบบต่าง ๆ ยังไม่พร้อม เจ้าหน้าที่ให้บริการน้อย กฎเกณฑ์ต่าง ๆ มีรายละเอียดมากขึ้น ขณะที่จำนวนคนต้องการเดินทางมีประมาณมากจึงให้บริการไม่ทัน แต่ก็หวังว่าตั้งแต่เดือนสิงหาคมนี้เป็นต้นไปทุกอย่างจะดีขึ้น” นายธนพลกล่าว และว่า ทำให้เป็นโอกาสของตลาดระยะใกล้และประเทศที่ไม่ต้องใช้วีซ่า

“เวียดนาม-ยุโรป” ฮอต

นายธนพลกล่าวด้วยว่า สำหรับกลุ่มควอลิตี้ เอ็กซ์เพรสนั้น ปัจจุบันเส้นทางที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ เวียดนาม ยุโรป ส่วนเกาหลี ญี่ปุ่น และมาเลเซีย มีแนวโน้มที่ดีมาก และเชื่อว่าหลังจากรัฐบาลประกาศ 1 กรกฎาคมนี้ เปิดแมสได้ จะทำให้คนไทยเกิดความเชื่อมั่นในการเดินทางและท่องเที่ยวแบบสบายใจขึ้น

อย่างไรก็ตาม นอกจากประเด็นเรื่องวีซ่า เรื่องสายการบินที่ยังกลับมาให้บริการไม่เต็มที่ก็เป็นปัญหาต่อการฟื้นตัวด้วยเช่นกัน

“ตอนนี้คนที่ต้องการเดินทางล้วนเป็นกลุ่มมีกำลังซื้อ ราคาจึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ก็ยอมรับว่าต้นทุนการเดินทางโดยเฉพาะเรื่องตั๋วเครื่องบินที่ขึ้นลงตามราคาน้ำมัน ทำให้การกำหนดราคาขายยากขึ้นด้วย” นายธนพลกล่าว

หวั่นสงครามราคาทุบรายเล็ก

ด้านนายเด่น มหาวงศนันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินสปิริต ฮอลิเดย์ จำกัด กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า กระแสการเดินทางระหว่างประเทศทั้งนักท่องเที่ยวขาเข้า (อินบาวนด์) และขาออก (เอาต์บาวนด์) กลับมาเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยในส่วนของตลาดเอาต์บาวนด์นั้น ตลาดที่ได้รับความนิยมมีทั้งเส้นทางบินระยะใกล้และไกล เช่น เวียดนาม ลาว บาหลี (อินโดนีเซีย) เป็นต้น

ส่วนญี่ปุ่นเป็นตลาดที่ทุกคนรอคอย ซึ่งหลังจากที่ญี่ปุ่นเปิดให้กรุ๊ปทัวร์เข้าก็ได้รับการตอบรับที่ดี แม้จะยังต้องใช้วีซ่า เพราะขั้นตอนการเดินทางไม่ยุ่งยาก

อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่น่าเป็นห่วงในขณะนี้คือ การแข่งขันด้านราคาที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ทำให้ราคาแพ็กเกจทัวร์ปรับลดลงค่อนข้างมาก

“ก่อนโควิดบริษัททัวร์จ่ายเงินค่าตั๋วเครื่องบินไว้กับสายการบิน พอเจอโควิดสายการบินไม่คืนเงิน แต่เก็บเครดิตไว้ให้ บางรายมีมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท เมื่อสายการบินเปิดให้บริการ บริษัททัวร์ต้องการนำเงินมาหมุนเวียน ทำให้ยอมขายในราคาที่ถูกเพื่อใช้เครดิตที่มีอยู่กับสายการบิน” นายเด่นกล่าว และว่า แพ็กเกจทัวร์เกาหลี เดิมขายอยู่ระดับประมาณ 40,000 บาท ตอนนี้เริ่มมีราคา 14,990-15,990 บาท ออกมา ปรากฏการณ์นี้เป็นประเด็นที่น่าห่วงว่าจะทำให้การเดินทางท่องเที่ยวไม่มีคุณภาพ ที่สำคัญผู้ประกอบการรายเล็กไม่สามารถแข่งขันได้

ต้นทุนเดินทางพุ่ง 30-40%

ขณะที่นายโชติช่วง ศูรางกูร อุปนายกสมาคมบริการท่องเที่ยว (TTAA) หรือสมาคมทัวร์เอาต์บาวนด์ และรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท หนุ่มสาวทัวร์ จำกัด กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ในทิศทางเดียวกันว่า ขณะนี้นักท่องเที่ยวไทยให้ความสนใจในการเดินทางเที่ยวในต่างประเทศในจำนวนที่มากขึ้น แต่ยังถือว่าอัตราการเติบโตของจำนวนยังไม่ก้าวกระโดดมากนัก เนื่องจากประเทศที่เป็นที่นิยมของคนไทยยังไม่ได้เปิดเต็มรูปแบบ

บางประเทศแม้ไม่มีมาตรการกักตัว แต่ก็มีข้อจำกัดหรือเงื่อนไขอื่น ๆ เช่น ต้องมีวีซ่า มีการตรวจโควิด การซื้อประกันการเดินทาง และการลงทะเบียนเข้าประเทศ ฯลฯ ทำให้นักท่องเที่ยวไทยยังไม่ตัดสินใจเดินทางกันมากนัก

ประกอบกับต้นทุนการเดินทางที่สูงขึ้นราว 30-40% เนื่องจากสภาวะเงินเฟ้อทั่วโลก การขยับตัวของค่าน้ำมันและอาหารจากสภาวะสงคราม ราคาตั๋วเครื่องบินที่สูงขึ้นเนื่องจากจำนวนเที่ยวบินที่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ รวมถึงปัญหาเรื่องกำลังซื้อของคนไทยด้วย

บริษัททัวร์กลับมาเปิดแค่ 10%

นายโชติช่วงกล่าวด้วยว่า ประเด็นปัญหาหนึ่งที่ตลาดท่องเที่ยวเอาต์บาวนด์กำลังเผชิญในขณะนี้คือ การให้บริการ เนื่องจากบริษัทนำเที่ยวทั้งหมดได้รับผลกระทบอย่างหนัก และไม่ได้รับความช่วยเหลือด้านการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำในช่วง 2 ปีครึ่งที่ผ่านมา ทำให้ปัจจุบันเหลือบริษัทนำเที่ยวที่เปิดกิจการแล้วเพียงแค่ประมาณ 10% เท่านั้น

“ตอนนี้บริษัททัวร์ราว 90% ยังปิดชั่วคราว ไม่มีเงินทุนในการรีสตาร์ตธุรกิจส่วนที่กลับมาเปิดให้บริการราว 10% นั้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นบริษัททัวร์ที่เจ้าของทำเอง ซึ่งประเด็นนี้เป็นปัจจัยสำคัญมากที่ทำให้ธุรกิจเติบโตได้ช้า” นายโชติช่วงกล่าว อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวหวังว่าผู้ประกอบการบริษัทนำเที่ยวหลายรายจะมีความพร้อมและกลับมาเริ่มต้นธุรกิจกันอีกครั้งในปีหน้า

ปี’65 ไทยเที่ยวนอก 1.2 ล้านคน

นายโชติช่วงกล่าวด้วยว่า ในช่วง 5 เดือนแรก (มกราคม-พฤษภาคม 2565) มีจำนวนคนไทยเดินทางไปต่างประเทศเฉลี่ยประมาณ 80,000 คนต่อเดือน คาดว่าหลังจากเปิดประเทศ 1 กรกฎาคม 2565 เป็นต้นไป จะมีจำนวนคนไทยออกไปเที่ยวต่างประเทศในจำนวนที่เพิ่มมากขึ้น โดยคาดว่าจะมีจำนวนเฉลี่ยที่ประมาณ 120,000 คนต่อเดือน หรือประมาณ 700,000 คน ในช่วงครึ่งปีหลังนี้

ทั้งนี้ คาดว่าจะมีจำนวนรวมสำหรับปี 2565 นี้ ประมาณ 1,200,000 คน จากเดิมที่เคยทำสถิติสูงสุดไว้ที่ 11.2 ล้านคนในปี 2562

“ช่วงไตรมาสที่ 3 ของทุกปีเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศน้อยกว่าไตรมาสอื่น ๆ จึงต้องรอติดตามผลในไตรมาสที่ 4 ที่เป็นฤดูกาลท่องเที่ยว ซึ่งหลาย ๆ ประเทศมีนโยบายที่จะเปิดเมืองมากขึ้น พร้อมกับผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ สำหรับนักท่องเที่ยว” นายโชติช่วงกล่าว