ผู้ตรวจฯ ชี้ ทอท.ไม่ทำตามสัญญา บี้แก้ปัญหาอาหารแพงในสนามบิน

ผู้ตรวจฯ บี้ ทอท.แก้ปัญหาอาหารแพงในสนามบิน ชี้เป็นหน้าตาของประเทศ เตรียมลงพื้นที่ “ดอนเมือง” เดือนหน้าเร่งแก้ปัญหาก่อนประชาชนกลับบ้านช่วงสงกรานต์

เมื่อวันที่ 11 มกราคม ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน พล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวถึงการขายสินค้าแพงของร้านในท่าอากาศยาน ว่าทางผู้ตรวจการแผ่นดินได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับอาหารและน้ำดื่มแพงในท่าอากาศยาน ตั้งแต่ปี 2559 และลงพื้นที่เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2559 คาดหวังว่าเรื่องนี้จะไม่เป็นเรื่องที่ซับซ้อนมากนัก และได้พบสัญญาที่ทอท.ได้ทำกับร้านค้า โดยที่ท่าอากาศยานดอนเมือง สัญญาระบุว่ายอมให้ขายแพงกว่าราคาในห้างสรรพสินค้า 10-20 เปอร์เซ็นต์ และที่สุวรรณภูมิยอมให้ขายแพงราคาในห้างไม่เกิน 25 เปอร์เซ็นต์ แต่ผลปรากฎว่าทั้ง 2 แห่งมีการขายเกินราคา สูงกว่าที่กำหนด 40-50 เปอร์เซ็นต์ จึงมีข้อโต้แย้งจาก ทอท. และนำสู่การตั้งคณะทำงานที่มีสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค กรมการค้าภายใน และเจ้าหน้าที่สอบสวนของผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อกำหนดราคามาตรฐานในการอ้างอิง โดยให้ยกราคาของห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็นสยามพารากอน และเซ็นทรัล แต่ ทอท.กลับโต้แย้งโดยขอให้เพิ่มห้างเอ็มควอเทียร์ และเซ็นทรัลเอมบาสซี ซึ่งในความเป็นจริงสัญญาที่ ทอท.ได้ทำไว้กับผู้ประกอบการ คือ เมื่อ 2548 ยังไม่มีการก่อตั้งห้างทั้งสอง ข้ออ้างดังกล่าวของ ทอท.จึงไม่สมเหตุสมผล ทอท.จึงต้องยอมจำนน

“เรื่องน้ำดื่มก็เช่นกัน พอเรากวดขันให้วางจำหน่ายในราคา 10 บาท เพราะน้ำดื่มเป็นสินค้าควบคุมราคา ไม่ว่าจะขายที่ใดในประเทศไทย ก็ต้องขายตามราคากำหนด ซึ่งปรากฎว่าผู้ประกอบการภายใต้สัญญาที่ควบคุมโดยทอท. ก็นำน้ำดื่มออกและนำน้ำแร่เข้ามาแทน เนื่องจากน้ำแร่ไม่สามารถควบคุมราคาได้ โดยขายในสนามบิน ราคาตั้งแต่ 35 จนถึง 70 บาทก็มี ซึ่งในปัญหาดังกล่าวในฐานะผู้ตรวจการแผ่นดิน เห็นว่าภาระเหล่านี้เกินจำเป็นต่อประชาชน และสร้างความเดือดร้อน ซึ่ง ทอท.ต้องแก้ไขปัญหาเรื่องนี้“ พล.อ.วิทวัสกล่าว

พล.อ.วิทวัส กล่าวต่อว่า ทอท.ได้ชี้แจงล่าสุดเมื่อปีที่แล้ว โดยแจ้งว่าไม่สามารถทำได้เนื่องจากจะต้องแก้ไขตัวสัญญา ซึ่งเป็นจังหวะที่กฎหมายผู้ตรวจฯ มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม จะทำให้คำวินิจฉัยมีสภาพบังคับ หากหน่วยงานที่ไม่แก้ไขตามที่ผู้ตรวจฯเสนอแนะ ผู้ตรวจฯ สามารถส่งเรื่องไปยังองค์อิสระอื่นให้ดำเนินการต่อได้ เราจึงยังไม่มีวินิจฉัยในก่อนหน้านี้ แต่เมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้แล้ว ผู้ตรวจฯจึงตั้งใจว่าจะลงพื้นที่อีกครั้งในต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ โดยเฉพาะที่ท่าอากาศยานดอนเมือง เพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วนก่อนถึงช่วงเดือนเมษายน ซึ่งประชาชนจะใช้เป็นเส้นทางกลับภูมิลำเนาในช่วงวันหยุดสงกรานต์

“ทอท.ไม่ต้องไปแก้ไขสัญญา เพราะในสัญญากำหนดไว้ชัดเจนว่า ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง สามารถขายอาหารได้สูงกว่าราคาในห้าง 10-20 เปอร์เซ็นต์ สุวรรณภูมิ 20-25 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น ทอท.จึงต้องดำเนินการให้เป็นไปตามสัญญา เรื่องนี้ผมถือว่า ทอท.ไม่ทำตามกฎหมาย หากพบเอกชนรายใดไม่ทำตามสัญญา ทอท.ควรจะรู้ว่าต้องทำอะไรต่อไป ในฐานะที่ ทอท.เป็นตัวแทนของหน่วยงานรัฐ” พล.อ.วิทวัสกล่าว

พล.อ.วิทวัส กล่าวว่า ในการลงพื้นที่ในต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ เราจะเชิญกระทรวงพาณิชย์ และ สคบ.ไปร่วมลงพื้นที่ตรวจสอบ ซึ่งเรื่องนี้ตนก็ทราบว่านายกรัฐมนตรี ก็รับทราบปัญหาแล้ว และให้ความสนใจ เนื่องท่าอากาศยานเป็นหน้าตาของประเทศ เราพึงรักษามาตรฐานของการทำงานและธรรมาภิบาล ซึ่งในการลงพื้นที่ก็หวังว่า ทอท.จะให้ความร่วมมือ ไปตรวจดูว่าสิ่งที่ตัวเองดำเนินการนั้นเป็นไปตามกฎหมายแล้วหรือไม่ ส่วนผู้ประกอบการจะแอบขึ้นราคาเองหรือไม่ เป็นเรื่องของ ทอท.ที่ต้องควบคุม อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ผู้ตรวจฯพยายามเชิญผู้บริหารของ ทอท.ที่มีอำนาจในการตัดสินใจมาร่วมหารือ แต่ก็มักถูกบ่ายเบี่ยง ซึ่งในกฎหมายใหม่ของผู้ตรวจฯ มาตรา 25 (1) ระบุว่าผู้ตรวจฯสามารถเชิญเจ้าหน้าที่รัฐ มาให้ถ้อยคำได้ คราวนี้ก็จะเชิญผู้มีอำนาจเบอร์ของ ทอท.ที่มีอำนาจในการตัดสินใจ ก็หวังว่าคงจะได้รับความร่วมมือ

เมื่อถามถึงการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยว แนะให้ประชาชนที่เดินทางไปใช้สนามบิน ไม่ต้องกินอาหารที่สนามบิน แต่ให้ไปกินที่ปลายทางนั้น พล.อ.วิทวัส กล่าวว่า วิธีการดังกล่าวไม่ใช่วิธีการแก้ไขปัญหา แต่เป็นการหลีกเลี่ยง ซึ่งประชาชนที่เดินทางไปใช้บริการ ก็มักจะเป็นช่วงเวลาอาหารเช้า เมื่อไปเช็กอินแล้วจะมีเวลาเหลือ 1 ชั่วโมง หากลดราคา เชื่อว่ายอดขายอาหารก็จะพุ่งสูงขึ้น ดูอย่างสนามบินนาริตะประเทศญี่ปุ่น ที่ราคาอาหารในสนามบินเท่ากับราคาข้างนอก คนก็กล้าที่จะไปกิน ไม่กระเป๋าฉีกเหมือนในประเทศไทย ทอท.ควรคำนึงผลประโยชน์ของคนไทย มากกว่าผู้ประกอบการ

 

ที่มา : มติชนออนไลน์