ธรรมนัส โดดลุยแผนบริหารจัดการน้ำ EEC

รมช.ธรรมนัส ติดตามรองนายกฯประวิตร เปิดสถานีสูบน้ำคลองสะพาน เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำอ่างเก็บน้ำประแสร์กว่า 50 ล้าน ลบ.ม./ปี รองรับความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มมากขึ้นอย่างเพียงพอ พร้อมวางแนวทาง ป้องกันการขาดแคลนน้ำทั้งในเขต EEC อีกกว่า 4 โครงการ

วันที่ 14 มิถุนายน 2564 ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวหลังร่วมพิธีเปิดสถานีสูบน้ำคลองสะพาน จังหวัดระยอง รวมทั้งติดตามสถานการณ์น้ำและแนวทางการแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำในเขต EEC พร้อมมอบนโยบายแก้ไขปัญหาน้ำอย่างยั่งยืน โดยมีพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธี ว่าสถานการณ์น้ำ และแนวทางการบริหารจัดการน้ำรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของ EEC ในอนาคต ณ โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาประแสร์ จังหวัดระยอง โดยการเปิดสถานีสูบน้ำคลองสะพาน จังหวัดระยองในครั้งนี้นั้น สามารถเพิ่มน้ำให้อ่างเก็บน้ำประแสร์ได้กว่า 50 ล้าน ลบ.ม./ปี รองรับความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มมากขึ้นอย่างเพียงพอ

ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน ได้ดำเนินการบริหารจัดการน้ำในเขต EEC อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม แต่ปริมาณน้ำต้นทุนในพื้นที่มีไม่เพียงพอสำหรับรองรับความต้องการใช้น้ำในอนาคต จึงได้พิจารณาแนวทางดำเนินการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุน เพื่อสร้างความมั่นคงด้านน้ำ และป้องกันการขาดแคลนน้ำทั้งในเขต EEC จำนวน 4 โครงการ ได้แก่ 1.) โครงการระบบสูบผันน้ำคลองสะพาน-อ่างเก็บน้ำประแสร์ เส้นที่ 2 ปัจจุบันมีความพร้อมดำเนินการ หากแล้วเสร็จจะสามารถเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนของอ่างเก็บน้ำประแสร์ได้กว่า 50 ล้าน ลบ.ม. ต่อปี 2.) โครงการอ่างเก็บน้ำคลองวังโตนด ปัจจุบันอยู่ระหว่างนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และโครงการผันน้ำคลองวังโตนด – อ่างเก็บน้ำประแสร์ เส้นที่ 2 หากแล้วเสร็จจะสามารถเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้อ่างเก็บน้ำประแสร์ได้กว่า 140 ล้าน ลบ.ม. ต่อปี 3.) โครงการผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำประแสร์-หนองค้อ-บางพระ ปัจจุบันมีความพร้อมที่จะดำเนินการ หากแล้วเสร็จจะสามารถเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้อ่างเก็บน้ำบางพระได้กว่า 80 ล้าน ลบ.ม. ต่อปี และ 4.) โครงการเพิ่มปริมาณฯต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล ปัจจุบันอยู่ระหว่างพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) หากแล้วเสร็จจะสามารถเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพลได้กว่า 1,795 ล้าน ลบ.ม. ต่อปี

นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องจากการขยายตัวของสังคมในปัจจุบัน โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รัฐบาลจึงสั่งการให้ทุกภาคส่วนร่วมบูรณาการการทำงาน เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำในพื้นที่ ให้ประชาชนมีน้ำเพียงพอใช้ในทุกกิจกรรม ปัจจุบันในพื้นที่ EEC (ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา) มีปริมาณน้ำเก็บกักรวมกัน 662 ล้าน ลบ.ม. หรือ 44% ของความจุอ่างรวมกัน เป็นน้ำใช้การได้ 522 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งทำการจัดสรรน้ำในทุกกิจกรรมไปแล้ว 80 ล้าน ลบ.ม. มีความต้องการใช้น้ำรวมกัน 1,054 ล้าน ลบ.บ. จากการคาดการณ์พบว่าในอนาคต (ปี 2574) ในพื้นที่ดังกล่าวมีความต้องการใช้น้ำเพิ่มขึ้นรวม 358 ล้าน ลบ.ม. โดยพื้นที่จังหวัดชลบุรี จะมีความต้องการน้ำเพิ่มขึ้นมากที่สุด