ทรัมป์กร้าว ‘สงครามการค้าชนะง่าย’ ไม่ถอยกำหนดกำแพงภาษีแม้คู่ค้าขู่ตอบโต้

สำนักข่าวต่างประเทศทั้งเอเอฟพีและรอยเตอร์รายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐอเมริกาแสดงอาการท้าทายเมื่อวันที่ 2 มีนาคมที่ผ่านมาโดยกล่าวว่า สงครามการค้าเป็นเรื่องดีและง่ายที่จะอาชนะหลังจากแผนการที่จะกำหนดพิกัดอัตราภาษีศุลกากรต่อเหล็กกล้าและอลูมิเนียมนำเข้าก่อให้เกิดเสียงข่มขู่ว่าจะตอบโต้จากคู่ค้าหลายรายและการร่วงลงแทบจะถ้วนหน้าของตลาดหุ้น

สหภาพยุโรป (อียู) ยกความเป็นไปได้ที่จะมีมาตรการตอบโต้ ฝรั่งเศสระบุว่ากำแพงภาษีดังกล่าวเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ ขณะที่จีนเรียกร้องให้นายทรัมป์แสดงความอดกลั้น ด้านแคนาดาที่เป็นผู้ส่งออกเหล็กกล้าและอลูมิเนียมรายใหญ่ที่สุดเข้าไปยังสหรัฐระบุว่าจะตอบโต้หากได้รับผลกระทบจากพิกัดอัตราภาษีศุลกากรของสหรัฐ

ดัชนีเอสแอนด์พี500 ปิดการซื้อขายประจำสัปดาห์ที่ปั่นป่วนผันผวนด้วยผลงานในทางที่ดีขึ้น ทว่าดัชนีหลักอื่นๆ มีผลงานย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมาจากการประกาศมาตรการดังกล่าว เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักอื่นๆ โดยร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปีเมื่อเทียบกับเงินสกุลเยนของญี่ปุ่น จากการคาดหมายว่าข้อเสนอกำหนดกำแพงภาษีของนายทรัมป์มีแนวโน้มจะทำให้เกิดสงครามการค้า

นายทรัมป์ได้ทวีตข้อความเป็นชุดวันเดียวกันนี้ โดยระบุว่า “เมื่อประเทศใดประเทศหนึ่ง (สหรัฐ) สูญเสียเงินหลายพันล้านดอลลาร์ในด้านการค้าต่อแทบจะทุกประเทศที่ทำธุรกิจด้วย สงครามการค้าก็เป็นเรื่องดี และง่ายที่จะเอาชนะ”

ในการโพสต์ทางโซเชียลมีเดียหลังจากนั้น ประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพับลิกันผู้นี้ระบุว่า จุดประสงค์ของเขาคือต้องการปกป้องตำแหน่งงานของสหรัฐในการเผชิญหน้ากับสินค้าต่างประเทศที่ถูกกว่า นับว่าเป็นจุดยืนที่คุ้นเคยของบทบัญญัติ “อเมริกาต้องมาก่อน” ที่นายทรัมป์ หาเสียงไว้ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2559

“เราต้องปกป้องประเทศและคนงานของเรา อุตสาหกรรมเหล็กกล้าของเราอยู่ในสภาพย่ำแย่ หากคุณไม่มีเหล็กกล้า คุณก็ไม่มีประเทศ” นายทรัมป์ระบุ

ทั้งนี้ สหรัฐเป็นประเทศผู้นำเข้าเหล็กกล้ารายใหญ่ที่สุดของโลก โดยซื้อเหล็กกล้าทั้งสิ้น 25.6 ล้านตันเมื่อปี 2560 ก่อนหน้านี้รัฐบาลของนายทรัมป์ได้เคยกำหนดพิกัดอัตราภาษีศุลกากรต่อสินค้าหลากหลายชนิดตั้งแต่แผงเซลล์แสงอาทิตย์ไปจนถึงเครื่องซักผ้า

นายทรัมป์ได้รับเสียงสนับสนุนจากสมาชิกสภานิติบัญญัติทั้ง 2 พรรคโดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐแถบ “รัสต์เบลต์” ที่ครั้งหนึ่งในอดีตเคยเป็นแหล่งอุตสาหกรรมผลิตเหล็กกล้าที่รุ่งเรือง

อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากระบุว่า แทนที่จะเป็นการเพิ่มการจ้างงาน การเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่ทำจากเหล็กกล้าและอลูมิเนียม อาทิ ในอุตสาหกรรมรถยนต์ และน้ำมันจะทำลายการจ้างงานของสหรัฐมากกว่าสร้างงาน

คู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐมีแนวโน้มว่าจะตอบโต้ โดยอียูได้ระบุชื่อสินค้าของสหรัฐที่จะต้องโดนพิกัดอัตราภาษีศุลกากรแล้วหากนายทรัมป์ทำตามแผนการดังกล่าว

“เราจะกำหนดกำแพงภาษีต่อมอเตอร์ไซค์ “ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน” วิสกี้ “เบอร์เบิน” และกางเกงยีนส์ “ลีวายส์” นางฌอง-โคล้ด ยุงเคอร์ ประธานกรรมธิการยุโรปกล่าว

นายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโดของแคนาดากล่าวว่า การกำหนดพิกัดอัตราภาษีศุลกากรต่อเหล็กกล้าหรืออลูมิเนียมของสหรัฐจะเป็นเรื่องที่ “รับไม่ได้อย่างที่สุด” และประกาศว่าจะร่วมงานกับเจ้าหน้าที่ทางการสหรัฐเพื่อแก้ไขปัญหานี้

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ออกมาแสดงความกังวลต่อเรื่องนี้เช่นกัน โดยระบุว่า ข้อเสนอที่จะกำหนดพิกัดอัตราภาษีศุลกากรมีแนวโน้มที่จะสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจสหรัฐและชาติอื่นๆ ขณะที่นายโรแบร์โต อาเซเวโด ประธานองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) ออกแถลงการณ์ระบุว่า “ดับเบิลยูทีโอเป็นกังวลอย่างยิ่งต่อการประกาศแผนการกำหนดพิกัดอัตราภาษีศุลกากรต่อเหล็กกล้าและอลูมิเนียมของสหรัฐ และความเป็นไปได้ของการยกระดับความตึงเครียดเป็นของจริงจากที่ได้เห็นปฏิกิริยาตอบสนองในเบื้องต้นของหลายชาติ สงครามการค้าไม่ใช่ผลประโยชน์ของใครเลย ดับเบิลยูทีโอจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด”

ด้านจีนซึ่งนายทรัมป์กล่าวหาอยู่บ่อยๆ ว่า มีพฤติกรรมทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม เรียกร้องให้นายทรัมป์ใช้ความอดกลั้นในเรื่องนี้

เจ้าหน้าที่ของทำเนียบขาวเปิดเผยว่า ไม่มีประเทศไหนที่ได้รับการยกเว้นจากข้อกำหนดพิกัดอัตราภาษีศุลกากรเหล็กกล้าและอลูมิเนียมนี้ อย่างไรก็ตามทำเนียบขาวจะพิจารณาความเป็นไปได้ที่จะยกเว้นใน “หลายๆ สถานการณ์” เป็นแต่ละกรณีไป

บรรดาบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ทั้งโตโยต้ามอเตอร์คอร์ป ฮอนด้ามอเตอร์ และฟอร์ดมอเตอร์ ต่างออกมาเตือนว่า การกำหนดกำแพงภาษีเหล็กกล้าและอลูมิเนียมจะทำให้รถยนต์มีราคาแพงขึ้นจากราคาต้นทุนของวัสดุที่เพิ่มขึ้นของผู้ผลิต

 

ที่มา  มติชนออนไลน์