คอลัมน์ : ชีพจรเศรษฐกิจโลก ผู้เขียน : นงนุช สิงหเดชะ
นับจากรัสเซียรุกรานยูเครน อันมีผลให้รัสเซียถูกชาติตะวันตกแซงก์ชั่นด้วยมาตรการที่หลากหลาย และที่ถือว่าเป็นมาตรการระดับ “นิวเคลียร์ทางการเงิน” ก็คือ การตัดรัสเซียออกจากระบบการชำระเงินระหว่างประเทศที่เรียกว่า SWIFT ทำให้รัสเซียต้องหันไปค้าขายกับประเทศต่าง ๆ ด้วยสกุลเงินท้องถิ่น
อย่างที่ทราบกัน “จีนกับอินเดีย” นั้น ถูกมองว่าเป็นผู้ต่อลมหายใจทางเศรษฐกิจให้กับรัสเซีย และช่วยให้รัสเซียมีรายได้ไปทำสงครามรุกรานยูเครนอย่างต่อเนื่อง เพราะทั้ง 2 ประเทศนอกจากจะไม่เข้าร่วมการแซงก์ชั่นแล้ว ยังไม่เข้าร่วมมติของสหประชาชาติในการประณามรัสเซียอีกด้วย เพราะทั้ง 2 ประเทศมีผลประโยชน์ของตัวเองที่ต้องรักษาและสานสัมพันธ์อันดีกับรัสเซียต่อไป เนื่องจากอย่างน้อยก็จะสามารถซื้อน้ำมันราคาถูกเป็นพิเศษจากรัสเซีย รวมทั้งซื้ออาวุธด้วย
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- ราคาทองวันนี้ (17 เม.ย. 67) ปรับ 8 ครั้ง ขึ้น 450 บาท รูปพรรณบาทละ 42,150 บาท
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
หลังจากรัสเซียถูกแซงก์ชั่นไม่ให้ทำธุรกรรมระหว่างประเทศด้วยดอลลาร์สหรัฐและถูกตัดออกจาก SWIFT รัสเซียก็หันไปค้าขายกับจีนและอินเดียด้วยสกุลเงินท้องถิ่นหรือสกุลอื่นที่ไม่ถูกแซงก์ชั่น โดยที่หยวนนั้นเป็นสกุลเงินที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในรัสเซีย โดยมีปริมาณการซื้อขายแซงหน้าดอลลาร์สหรัฐไปแล้วเมื่อเร็ว ๆ นี้ ต่างจากช่วงก่อนบุกยูเครนที่ปริมาณการซื้อขายเงินหยวนในตลาดรัสเซียมีเพียงเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม การไม่สามารถใช้ดอลลาร์สหรัฐ อันเป็นสกุลเงินหลักของโลกเป็นตัวกลางในการค้าขาย ทำให้เกิดอุปสรรคยุ่งยากอยู่ไม่น้อย เช่นกรณีของอินเดีย ซึ่งสื่ออเมริกันอย่างบลูมเบิร์ก ได้รายงานข่าวเมื่อไม่นานมานี้ และสื่ออินเดียก็หยิบยกไปรายงานเช่นกัน โดยระบุว่า การส่งมอบอาวุธของรัสเซียให้กับอินเดียถูกระงับเอาไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว เนื่องจาก 2 ประเทศไม่สามารถตกลงกันได้ว่าจะชำระค่าอาวุธด้วยสกุลเงินอะไร
แหล่งข่าวระบุว่า อินเดียสั่งซื้ออาวุธและยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ จากรัสเซียเป็นมูลค่ามากกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีทั้งเครื่องบินขับไล่ รถถังและเรือดำน้ำ โดยฝ่ายอินเดียนั้นไม่สามารถชำระด้วยดอลลาร์ได้ เนื่องจากเกรงจะถูกสหรัฐอเมริกาแซงก์ชั่นไปด้วย และก็ไม่อยากจ่ายด้วยเงินรูเบิลของรัสเซียเช่นกัน เพราะเกรงว่าตัวเองจะไม่ได้รับอัตราแลกเปลี่ยนที่เป็นธรรมในตลาด
ข้างฝ่ายรัสเซียก็ไม่ยอมรับชำระค่าอาวุธด้วยเงินรูปีของอินเดีย เพราะอัตราแลกเปลี่ยนเงินรูปีมีความผันผวน อีกทั้งไม่ยอมรับข้อเสนอของอินเดียที่เสนอให้รัสเซียนำเงินรูปีที่ได้จากการขายอาวุธไปลงทุนในตลาดทุนของอินเดีย เพื่อที่ว่าจะได้ไม่ต้องขนเงินไปจ่ายเป็นกองโต หรือไม่ก็ให้รัสเซียนำเงินที่จะได้จากการขายอาวุธมาซื้อสินค้าอื่นของอินเดียเพื่อหักกลบกันไป แต่ก็ถูกปฏิเสธเนื่องจากรัสเซียเป็นฝ่ายเกินดุลการค้ากับอินเดียประมาณ 3.7 หมื่นล้านดอลลาร์
อินเดียพยายามจะหาทางอื่น เช่นชำระด้วย “ยูโร” หรือไม่ก็ “เดอร์แฮม” ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ซึ่งโดยทั่วไปแล้วอินเดียใช้ชำระค่าน้ำมันดิบที่ซื้อจากรัสเซียในราคาถูก แต่การจะใช้สกุลเงินดังกล่าวชำระค่าอาวุธมีแนวโน้มสูงที่จะถูกสหรัฐอเมริกาจับตาและตรวจสอบมากกว่าการใช้ซื้อน้ำมัน นอกจากนั้นอินเดียอาจขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ไม่น่าพอใจอีกด้วย
นอกจากจะระงับการส่งมอบอาวุธให้อินเดียในครั้งนี้แล้ว รัสเซียยังหยุดการให้สินเชื่อชิ้นส่วนอะไหล่ด้านอาวุธและยุทโธปกรณ์มูลค่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ให้กับอินเดียอีกด้วย
รัสเซียเป็นผู้ขายอาวุธรายใหญ่ที่สุดให้กับอินเดียหรือคิดเป็น 20% ของการส่งออก ถึงแม้อินเดียพยายามจะลดการพึ่งพารัสเซียในช่วงไม่กี่ปีมานี้่ก็ยังเป็นผู้ป้อนอาวุธรายใหญ่สุดเช่นเดิม โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา รัสเซียขายอาวุธให้อินเดียเป็นมูลค่าราว 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์
เมื่อเดือนที่แล้วฝ่ายอินเดียบ่นว่า รัสเซียไม่ยอมส่งมอบอาวุธก็เพราะทุ่มอาวุธทุกอย่างไปที่ยูเครน
ปัญหาการส่งมอบอาวุธและการชำระเงินในครั้งนี้จะกระทบต่อศักยภาพของกองทัพอินเดีย อีกทั้งจะส่งผลเสียต่อความพร้อมของกองทัพอินเดียในการรับมือจีนจากปัญหาข้อพิพาทเขตแดนบริเวณเทือกเขาหิมาลัยที่ทั้งสองประเทศมีชายแดนติดกันยาวกว่า 3,000 กิโลเมตร ซึ่งมีปัญหาคุกรุ่นมาหลายสิบปี และเคยเกิดการยิงปะทะครั้งใหญ่จนเสียชีวิตทั้งสองฝ่ายเมื่อปี 2020
ความตึงเครียดดังกล่าวของสองยักษ์ใหญ่ในเอเชีย ถูกรัฐบาลสหรัฐอเมริกาจับตามองอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเกรงว่าจะ บานปลายจนควบคุมไม่อยู่ เพราะทั้งจีนและอินเดียต่างมีอาวุธนิวเคลียร์