ผวาภาษีเหล็ก “ทรัมป์” จุดชนวนสงครามการค้า-ป่วนเศรษฐกิจโลก

การประกาศแผนจะขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม 25% และ 10% ตามลำดับ ของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” เมื่อสัปดาห์ก่อน ยังคงสร้างคลื่นความกังวลแผ่กว้างไปทั่วโลก เพราะเกรงว่าจะกลายเป็นการเปิดสงครามการค้ากับนานาประเทศ ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโลกที่กำลังไปได้ดีในขณะนี้

แม้ในตอนแรกนักวิเคราะห์บางคนจะมองว่าเป็นเพียงคำขู่ตามสไตล์ของทรัมป์เพื่อหวังจะกดดันประเทศคู่ค้าให้ยอมโอนอ่อนต่อสหรัฐในบางเรื่องตามที่สหรัฐต้องการ แต่ทว่าภายหลังจาก นายแกรี่ โคห์น ลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ ซึ่งถือเป็นตำแหน่งที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจสูงสุด เมื่อวันที่ 6 มีนาคมที่ผ่านมา หรือไม่กี่วันหลังจากทรัมป์ออกมาประกาศแผนจะขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม ทำให้ตลาดและนักลงทุนเริ่มเครียดและวิตกกังวลมากกว่าครั้งไหน ๆ เพราะเป็นสัญญาณว่าครั้งนี้ทรัมป์อาจเอาจริงและเดินหน้าขึ้นภาษีโดยไม่ฟังเสียงทัดทาน

นับตั้งแต่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี มีคนในรัฐบาลลาออกมากมายจนนับไม่ถ้วน จนอาจกล่าวได้ว่า เป็นรัฐบาลที่มีทีมงานลาออกบ่อยที่สุด แต่การลาออกของนายโคห์นในสายตาของนักวิเคราะห์เห็นว่า “มีความหมายอย่างมาก” เพราะถือเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญเกี่ยวกับนโยบายและทิศทางเศรษฐกิจ เป็นสัญลักษณ์ของผู้นิยมการค้าเสรีที่มีอยู่เพียงน้อยนิดในรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งทำให้ตลาดและนักลงทุน ยังพออุ่นใจได้ว่าเขาจะสามารถเหนี่ยวรั้งทัดทานไม่ให้ทรัมป์ใช้นโยบายปกป้องการค้าสุดกู่เกินไป

แต่เมื่อนายโคห์นลาออก สะท้อนให้เห็นว่าโคห์นไม่สามารถทัดทานทรัมป์ได้ นั่นเท่ากับว่าอิทธิพลและบทบาทของเขาในฐานะนักนิยมการค้าเสรีไม่อาจสู้รบปรบมือกับคนแวดล้อมทรัมป์ที่เป็นพวกนิยมลัทธิปกป้องการค้า

การจากไปของนายโคห์นเทียบได้กับการสูญเสียบุคคลที่เป็น “ผู้หลักผู้ใหญ่” มีความมั่นคงหนักแน่น น่าเชื่อถือ ที่เหลืออยู่ในรัฐบาลทรัมป์ไป และจากนี้ไปก็คงเหลือเพียง นายสตีเว่น มนูชิน รัฐมนตรีคลัง คนเดียวที่มีแนวคิดและจุดยืนเดียวกับนายโคห์น ซึ่งเชื่อว่าต่อไปบทบาทของนายมนูชินก็คงถูกกลุ่มปกป้องการค้าในรัฐบาลทรัมป์บดบังจนไร้อิทธิพล ขณะเดียวกันมีความเป็นไปได้ที่ นายปีเตอร์ นาวาโร ที่ปรึกษาการค้า ซึ่งเป็นนักกีดกันการค้าตัวยงจะมาดำรงตำแหน่งแทนนายโคห์น

อันที่จริงก่อนหน้านี้ประมาณช่วงปลายปีที่แล้ว ทั้งนายโคห์นและนายมนูชินคือผู้ที่โน้มน้าวให้ทรัมป์เลื่อนการยกเลิกหรือถอนตัวจากข้อตกลงการค้าเสรีและเลื่อนการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า เพื่อไม่ให้สมาชิกพรรครีพับลิกันโกรธ เพราะในช่วงนั้นทรัมป์อยู่ระหว่างการเสนอแผนปฏิรูปภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ต้องอาศัยเสียงของสมาชิกให้ความเห็นชอบ

ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้นายโคห์นประกาศลาออก เกิดขึ้นหลังจากเขาเตรียมจะนำผู้บริหารจากบริษัทต่าง ๆ ที่จะได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีเหล็กเข้าพบหารือทรัมป์ในวันที่ 5 มี.ค. แต่ถูกคนในทำเนียบขาวปฏิเสธที่จะจัดตารางนัดหมายให้พบทรัมป์

ต่อมาในวันอังคารที่ 6 มีนาคม ทรัมป์แถลงโอ้อวดต่อสื่อมวลชนว่า มีแต่คนอยากมาทำงานกับเขา ซึ่งคำโอ้อวดนี้เกิดขึ้นหลังจากเกิดเสียงวิจารณ์ว่า สไตล์การบริหารของเขาสร้างความโกลาหลในทำเนียบขาว ทำให้คนไม่อยากทำงานด้วย ปรากฏว่าหลังจากนั้นไม่ถึง 2 ชั่วโมง นายโคห์นได้ประกาศลาออก

บรรดานักวิเคราะห์และตลาดกังวลอย่างมากว่า ภาษีดังกล่าวจะกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก ถ้าหากเกิดสงครามการค้าขึ้นจริง เพราะขณะนี้หลายประเทศเช่นยุโรปก็ประกาศจะตอบโต้แล้ว หากเป็นเช่นนั้นจริง การขึ้นดอกเบี้ยก็คงพักไว้ก่อน เนื่องจากเมื่อเกิดสงครามการค้า ราคาสินค้าและบริการหลายอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับเหล็กและอะลูมิเนียมจะสูงขึ้น กระทบต่อความต้องการโดยรวมของโลก เพราะผู้ผลิตจะส่งผ่านภาระต้นทุนไปยังผู้บริโภค ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อแต่เศรษฐกิจชะงักงัน (stagflation)