ต่อเวลาผู้นำอำนาจนิยม “ปูติน-สี จิ้นผิง”

ไม่พลิกโผแต่อย่างใด เพราะในที่สุด “วลาดิเมียร์ ปูติน” ก็สร้างประวัติศาสตร์เป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 4 แห่งรัสเซีย แม้จะลงแข่งในฐานะผู้สมัครอิสระ ที่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคยูไนเต็ดรัสเซีย และกลุ่มการเมืองในนาม “แนวร่วมประชาชนรัสเซีย” ด้วยคะแนนสนับสนุน 76.5% เรียกได้ว่าชนะถล่มทลาย โดยลำดับที่ 2 “พาเวล กรูดินีน” จากพรรคคอมมิวนิสต์ ได้คะแนนสนับสนุนไปเพียง 11.9% เท่านั้น

บรรดานักวิเคราะห์ที่ติดตามการเมืองรัสเซียมานาน ระบุก่อนหน้าผลการเลือกตั้งจะเป็นที่ประจักษ์ว่า ไม่ว่ายังไง ปูตินก็จะชนะการเลือกตั้ง และดูเหมือนว่าผู้สมัครลงแข่งขันทั้งหมด ก็แค่ตัวประกอบเท่านั้นเพื่อเป็นสีสันให้กับปูติน

แม้ว่าการเลือกตั้งรัสเซียที่เกิดขึ้น จะเหมือนว่าถูก “ล็อก” ไว้อยู่แล้ว แต่ผลสำรวจคนภายในส่วนใหญ่ก็แฮปปี้กับการทำงานของปูติน มองว่าในยุคสมัย 18 ปีภายใต้การปกครองของปูติน ชาวรัสเซียมีความเป็นอยู่ดีที่ขึ้น และที่สำคัญ ปูตินช่วยยืนยันแนวคิดที่ว่า รัสเซียไม่ใช่เบี้ยล่างของ “สหรัฐอเมริกา”

ทำให้ภาพลักษณ์ของปูติน แม้ว่าจะดูเป็นตัวร้ายในสายตาโลก แต่ในประเทศ ปูตินเปรียบเสมือนฮีโร่ และวีรบุรุษสำหรับชาวรัสเซียทีเดียว

ประเด็นที่สำคัญไปกว่านั้น มีผลสำรวจจาก Pew Research ระบุว่า 81% ของวัยรุ่นรัสเซียอายุระหว่าง 18-24 ปี บอกว่าจะเลือกปูติน เพราะเติบโตมากับผู้นำคนเดียวและไม่รู้จักผู้นำคนอื่น ค่าเฉลี่ยความคิดดังกล่าว ถือว่าสูงกว่าคนรัสเซียในวัยอื่นที่คิดว่าจะเลือกปูติน 56%

เหตุผลสำคัญคือ แม้ว่าวัยรุ่นส่วนมากจะรู้ดีว่าประเทศของตนไม่มีเสรีภาพในการแสดงออกเท่าที่ควร แต่รัสเซียในยุคของปูตินพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น คนจนน้อยลง คนรวยเพิ่มมากขึ้น เด็กเข้าถึงการศึกษาง่ายขึ้น และบ้านเมืองสงบ เสียงจากวัยรุ่นรัสเซียระบุว่า ไม่ต้องการให้ประเทศถอยหลังกลับสู่สงครามกลางเมือง ถดถอยสู่ยุคโซเวียต

“เรารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวของปูติน เรารู้ดีว่าหากเราเลือกปูตินอีกครั้ง ทุกอย่างก็จะสงบสุขและเรียบร้อย” “พาเวล ไรบิน” นักศึกษาวัย 20 ปี ให้สัมภาษณ์กับเดอะ วอชิงตัน โพสต์

ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ประเทศจีนก็ได้ลงมติรองรับการครองบัลลังก์ผู้นำสมัยที่ 3 ของ “สี จิ้นผิง” ไปเรียบร้อย หลังจากก่อนหน้านั้นราวสัปดาห์ สภาประชาชนจีนมีการลงมติเห็นชอบให้แก้ไขรัฐธรรมนูญพรรคคอมมิวนิสต์ ให้ประธานาธิบดีสามารถดำรงตำแหน่งได้อย่างไม่จำกัดสมัย จากเดิม 2 สมัย

นักวิเคราะห์มองสาเหตุการต่ออายุครั้งนี้ว่า เกิดขึ้นเพื่อไม่ให้เป้าหมายการสร้างจีนให้เป็นประเทศมหาอำนาจต้องชะงักลง งานชิ้นใหญ่ยังเหลืออยู่คือโครงการ One Belt One Road ที่ตั้งใจจะเชื่อมเอเชีย ยุโรป และแอฟริกาเข้าด้วยกัน รวมถึงการจัดการปัญหาค้างคาต่าง ๆ ทั้งหนี้สาธารณะของรัฐบาลท้องถิ่น รวมถึงการล้างบางปัญหาคอร์รัปชั่น

รัฐบาลจีนชุดปัจจุบัน จึงดูเหมือนได้ใจคนจีนไปไม่น้อย แม้ว่าจะมีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงตัวสี จิ้นผิงอยู่บ้างผ่านทางโลกออนไลน์ แต่รัฐบาลก็มักใช้ไม้แข็งในการปราบปรามและควบคุมสื่อ

ภายใต้การนำของสี จิ้นผิง ได้พาประเทศจีนเข้าสู่ “ยุคใหม่” ที่แสดงชัดถึงความสำเร็จ คือเศรษฐกิจประเทศที่ดันจีดีพีและการส่งออกให้เติบโตมหาศาล พร้อมกับผลักดันการขับเคลื่อนประเทศด้วยนวัตกรรม มีคนรวยเพิ่มมากขึ้น ชนชั้นกลางเกิดขึ้นจำนวนมาก กำลังบริโภคของจีนเติบโตจนแทบฉุดไม่อยู่

ประเด็นที่น่าสนใจต่อจากนี้ คือการต่ออำนาจของ 2 ผู้นำจะนำไปสู่อะไรในอนาคต และจะวางหมากต่อไปอย่างไรในเ วทีการค้าและการเมืองโลกผู้สันทัดด้านการเมืองโลก มองว่า ทั้ง “ปูติน” และ “สี จิ้นผิง” แม้จะชอบธรรมในการดำรงตำแหน่งด้านกฎหมาย

แต่สิ่งสำคัญต่อไปคือ “ความชอบธรรมด้านผลงาน” ที่จะยืนยันว่าทั้งคู่ คือคนที่ถูกต้อง และควรจะอยู่ต่ออีกหลายสมัย ดังนั้นการพิสูจน์ตัวเองเพื่อต่อสู้กับนโยบายโลกปัจจุบัน ยังเป็นสิ่งที่ต้องทำงานหนักต่อไปเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับระบอบ “ปูติน” และระบอบ “สี จิ้นผิง” ไม่ให้สั่นคลอน