ไพ่ในมือจีนกำราบ “มะกัน” ตอบโต้ศึกการค้าสะท้านโลก

ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามชนิดตาไม่กะพริบ สำหรับการไสช้างชนกันของสองยักษ์เศรษฐกิจโลกอย่างสหรัฐอเมริกากับจีน หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดศึกการค้าด้วยการประกาศจะเพิ่มการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 1,300 รายการ มูลค่า 50,000 ล้านดอลลาร์ และจีนก็ได้ตอบโต้ไปแล้ว ด้วยการประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐ 128 รายการ เป็นมูลค่า 3,000 ล้านดอลลาร์ พร้อมจะนำพฤติกรรมของสหรัฐในครั้งนี้ขึ้นร้องเรียนต่อองค์การการค้าโลก (WTO)

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเปิดศึกของสองยักษ์ใหญ่นี้ สร้างความกังวลว่าหากไม่สามารถรอมชอมกันได้ ย่อมต้องกระทบต่อภาพและบรรยากาศโดยรวมของการค้าและเศรษฐกิจโลก และจะเป็นตัวถ่วงเศรษฐกิจโลกที่กำลังไปได้ดี ให้เข้าสู่โหมดอึมครึมไปอีกพักใหญ่

แน่นอนว่าการตั้งกำแพงภาษีระหว่างกัน ย่อมไม่มีฝ่ายไหนรอดพ้นบาดแผล โดยในซีกของจีนนั้น หากฟังจากสื่อจีนที่เป็นกระบอกเสียงของรัฐบาล ทำให้เห็นว่า จีนไม่ได้วิตกมากนักและอยู่ในขั้นรับมือไหว เห็นได้จากทรรศนะของ ตง หยาน นักวิจัยของสถาบันเศรษฐศาสตร์และการเมืองโลกที่ระบุว่า หากคำนวณจากมูลค่าการค้าระหว่างสหรัฐและจีน

ปีที่แล้ว สินค้าที่สหรัฐประกาศเพิ่มภาษีคิดเป็น 11.6% ของสินค้าทั้งหมดที่จีนส่งออกไปสหรัฐ และคิดเป็น 2.2% ของสินค้าทั้งหมดที่จีนส่งออกไปทั่วโลก ซึ่งถือว่ายังอยู่ในขั้น “ทนได้” และแม้ทั้งสองฝ่ายก้าวเข้าสู่ขั้นตึงเครียด แต่ถือว่าสถานการณ์ยังสามารถ “ควบคุม” ได้

ไป่ หมิง รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยการตลาดระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์จีน บอกว่าจีนพยายามเพื่อให้มีการเจรจาระหว่างกัน แต่สหรัฐกลับลดช่องทางการเจรจาให้แคบลง ดังนั้น เราตอบโต้แน่นอน “เราต้องปล่อยให้โดนัลด์ ทรัมป์ รู้สึกถึงผลกระทบที่รุนแรงอันเกิดจากสงครามการค้าเสียก่อน ไม่เช่นนั้นอเมริกาก็จะรังแกจีนไปอีกหลายสิบปี”

หากดูจากเนื้อหาในบทความ “วอชิงตันต้องจ่ายราคาแพงในสงครามการค้า” ที่ตีพิมพ์ในโกลบอล ไทม์ส ดูเหมือนจะส่งสัญญาณย้ำว่า จีนนั้นมีไพ่ในมือหลายใบเพื่อสู้ศึกครั้งนี้ โดยชี้ว่าบริษัทสาขาอเมริกันจำนวนมาก ผลิตและขายสินค้าในจีนแต่ละปีมูลค่ากว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ แต่ถึงกระนั้น บริษัทจีนก็มีศักยภาพที่จะผลิตขึ้นมาทดแทนได้

ขณะเดียวกันธุรกิจภาคบริการของสหรัฐในจีนก็เติบโตอย่างรวดเร็ว ดังนั้น จีนมีช่องทางอีกมากที่จะกำราบอเมริกา

“พวกอีลิตอเมริกันยังหัวรั้น เชื่อว่าเศรษฐกิจจีนพึ่งพาตลาดสหรัฐมากกว่า พวกเขากดดันให้วอชิงตันเปลี่ยนนโยบายการค้ากับจีนบนฐานความเข้าใจที่คลุมเครือ แต่ความจริงก็คือขนาดตลาดบริโภคของจีนนั้นแซงสหรัฐไปแล้ว”

บทความนี้ยังบอกอีกว่า สหรัฐพยายามใช้สงครามการค้าเพื่อโจมตีสกัดแผน “เมด อิน ไชน่า 2025” เพราะกลัวจีนจะผงาดขึ้นมาในแง่ความสามารถการแข่งขันด้านเทคโนโลยีขั้นสูง แต่ในความเป็นจริง จีนมีความสามารถของตนเองในการพัฒนาและวิจัยอย่างเป็นอิสระ โดยไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีสหรัฐทั้งด้านนักบินอวกาศและอากาศยาน

“เทคโนโลยีจีนแซงหน้าสหรัฐไปแล้วในหลายเรื่องสำคัญ อย่างเช่น การสื่อสารระบบ 5G เทคโนโลยีหุ่นยนต์ ดังนั้นการพยายามขัดขวางการพัฒนาเหล่านี้ จึงเป็นเรื่องเพ้อฝัน”

บทความยังได้เสนอแนะรัฐบาลว่า จีนควรเริ่มตอบโต้สหรัฐด้วยสินค้าถั่วเหลืองและข้าวโพด เพราะถ้าหากภาคเกษตรได้รับผลกระทบ ก็จะส่งผลกระทบทางการเมืองอย่างรุนแรง จะทำให้พรรครีพับลิกันต้องจ่ายราคาแพง จะเห็นว่าตอนนี้เกษตรกรอเมริกันกำลังวิตกจนต้องลงโฆษณาทางทีวี เพื่อคัดค้านทรัมป์ในการเปิดสงครามการค้า

ยังมีเวลาไปจนถึงเดือนพฤษภาคม กว่าการขึ้นภาษีจะมีผลในทางปฏิบัติจริง ซึ่งต้องรอดูว่าเมื่อถึงเวลานั้น ทรัมป์จะเปลี่ยนใจหรือไม่